บุญราศีโรลันโด
รีวี
Bl. Rolando
Rivi
ฉลองในวันที่ : 13 เมษายน
วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ของสังฆมณฑลเรกจู
เอมีเลีย วันที่เณรผู้หนึ่งในสังฆมณฑลได้รับเกียรติถูกยกขึ้นไปบนแท่นบูชาในฐานะบุญราศี
อันเป็นกุญแจสำคัญสู่การเป็นนักบุญในลำดับต่อไป ตอนจากนี้คงได้แต่เพียงสวดภาวนาอ้อนวอนขององค์พระเจ้าให้บังเกิดอัศจรรย์ขึ้นด้วย
อัศจรรย์ที่จะเปิดประตูสู่การเป็นนักบุญเยาวชนอีกคนหนึ่ง
เด็กชายผู้กำเนิดเมื่อวันที่
7 มกราคม ค.ศ.1931
ใน หมู่บ้านซาน วาเลนติโน เมืองกาสเตลลาราโน จังหวัดเรกจู เอมีเลีย แคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา ประเทศอิตาลี เป็นบุตรคนกลางจากสามคนของนายโรแบร์โต
รีวี กับ นางอัลเบรทินา กาโนวี
หนูน้อยเติบใหญ่ขึ้นในมาในท่ามกลางความศรัทธาของบิดามารดาผู้สวดภาวนาและสวดสายประคำทุกวัน
และไปมิสซาทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่อายุ 5
ปี ท่านก็ได้เริ่มช่วยมิสซา และชอบที่จะสวดภาวนาและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าในวัด
ท่านได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกในวันสมโภชพระคริสตกายาที่ 16 มิถุนายน
ค.ศ.1938 หลังจากนั้นอีกสองปีในวันที่ 24 มิถุนายน ท่านก็ได้รับการโปปรดศีลกำลังโดยพระสังฆราชแห่งเรกจู เอมีเลีย ฯพณฯ เอโดอารโด เบร็ตโตนิ
ซึ่งมันทำให้ท่านตระหนักถึงการเป็น “ทหารกล้าของพระคริสต์” วิญญาณท่านสนิทกับพระองค์ดังเพื่อนทั้งในมิสซาและชีวิตประจำวัน
ท่านสารภาพบาปอาทิตย์ละครั้ง สวดสายประคำพร้อมครอบครัวหรือคนเดียว
ท่านเป็นเด็กที่มีจิตใจดีกับคนยากจนตามทาง
ท่านกล่าวว่า “ผู้ยากไร้ทุกคนสำหรับผมคือพระเยซูเจ้า” หลายครั้งที่ท่านพยายามชวนเพื่อนตัวน้อยในหมู่บ้านไปวัดหรือเรียนคำสอนหรือเฝ้าศีล
เพื่อเติบโตไปในความเชื่อและความรักต่อพระเจ้า ในฐานะนักเรียนท่านเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนที่มีความจำอันยอดเยี่ยม
ทำให้ท่านจบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาด้วยคะแนนที่ดีเยี่ยม
“จะมีนักบุญเยาวชนจำนวนมากมายและหลายๆคนจะได้ชื่อว่าพระสงฆ์
โมทนาของพระคุณพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทสุดเทิดทูนและศักดิ์สิทธิ์จะได้มาจากพวกเขา” นักบุญสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุส ที่ 10 นับวันความชิดสนิทสัมพันธ์ ของท่านกับพระเยซูเจ้าก็ยิ่งทวีมากขึ้น ในวัย
10 ปี ท่านก็ได้ติดต่อกับคุณพ่อมาร์โซกชินีและพระเยซูเจ้าในตู้ศีล
ท่านก็สัมผัสได้ถึงกระแสเรียกจากพระเยซูเจ้า ดังนั้นในด้วยอายุ 11 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจจะเป็นพระสงฆ์ “ผมต้องการจะเป็นพระสงฆ์ พ่อครับ แม่ครับ
ผมจะเข้าบ้านเณรครับ”
ดังนั้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม
ค.ศ.1924 ท่านก็ได้เดินทางไปบ้านเณรที่มาโรลา ทันทีท่านก็ได้รับเสื้อหล่อ
ที่นั่นท่านศึกษาเล่าเรียนด้วยความขยัน ในบ้านเณร
ท่านเป็นคนมีชีวิตชีวาและรวดเร็วในทุกเกมส์ ไม่ว่าฟุตบอลหรือวอลเลย์บอล
ท่านเป็นตัวอย่างแก่เพื่อนๆทุกคน ท่านเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบของเยาวชนที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
และด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะของท่าน
ท่านจึงได้เป็นสมาชิกของกลุ่มนักขับ ท่านมีความสุขก่อนรับศีลมหาสนิทเสมอ ในฤดูร้อนท่านยังคงอยู่ที่บ้านเณร
ร่วมมิสซาและรับศีลมหาสนิททุกๆวันด้วยความภักดี รำพึงในตอนเช้า
เฝ้าศีลและสวดสายประคำในทุกๆคืน นอกจากนั้นท่านยังแพร่ธรรมในท่ามกลางสหาย
สวมเสื้อหล่อด้วยความภาคภูมิ “มันเป็นสัญญาว่าผมเป็นของพระเยซูเจ้า”
นอกจากเป็นนักขับแล้ว
ท่านยังเป็นคนเล่นออแกนในวัดอีกด้วย ซึ่งมันทำให้บิดาท่านที่เป็นนักขับรู้สึกภูมิใจที่ได้ร้องเพลงร่วมกับท่าน
และมั่นใจว่าท่านจะต้องกลายเป็นพระสงฆ์อย่างแน่นอน
บ่อยครั้งมักมีคนพบท่านรายล้อมไปด้วยบรรดาเพื่อนตัวน้อยที่มาฟังท่านสอน
บิดาท่านเฝ้ารอวันที่ท่านจะได้รับศีลอนุกรม
แต่แล้วในฤดูร้อนปี ค.ศ.1944 บ้านเณรก็ต้องปิดเมื่อเยอรมันกรีฑาทัพมาถึงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านจึงจำต้องกลับไปอยู่ที่บ้านกระนั้นท่านก็ยังคงศึกษาต่อในฐานะเณรอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นลัทธิฟาสซิสต์ก็ระบาดไปทั่ว ลัทธิที่ต่อต้านศาสนา “พวกเราภาวนาขอให้ได้กลับไปบ้านเณรเร็วๆ
เมื่อผมเป็นพระสงฆ์ผมจะเป็นพระธรรมทูตที่จะนำพระเยซูเจ้าไปยังผู้ที่ไม่รู้จักพระองค์” ท่านมักกล่าวในเวลานั้น
ท่านมิได้กลัวต่อภัยคุกคามใดเลย
ท่ายืนยันที่จะสวมเสื้อหล่อต่อไป เมื่อท่านถูกขอให้แต่งชุดเช่นเด็กชาวบ้านทั่วไป
ท่านก็ตอบอย่างหนักแน่นว่า “ผมไม่สามารถถอดเสื้อหล่อของผม
เพราะมันเป็นสัญญาณว่าผมเป็นของพระเจ้า”
กระทั้งในยามเช้าของวันที่ 13 เมษายน ค.ศ.1945 ขณะที่บิดามารดาท่านไปทำงานในทุ่ง ท่านจึงถือโอกาสเอาหนังสือเรียนไปอ่านอยู่ใกล้ๆพุ่มไม้
แต่แล้วอยู่ๆขณะที่ท่านกำลังอ่านหนังสือพวกกลุ่มต่อต้านก็เดินผ่านมาพอดี
ฉับพลันความเกลียดชังก็ไหลเวียนตัวของพวกเขา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “มีไอ้แมงมุมดำในอนาคตนี่ เราฆ่ามันเลยดีไหม?” “เอาเลย”
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินเข้าไปใกล้ท่านพร้อมกระชากหมวกของท่านทิ้ง
และเริ่มดูถูกท่าน ก่อนลงมีฟาดท่านด้วยสายรัดขา ตบท่าน
มันทำให้เด็กชายตัวเล็กๆอย่างท่านเริ่มหน้าซีดและร้องไห้ด้วยความกลัว ถัดจากนั้นพวกเขาจึงพาท่านเข้าไปในป่าของมอนชิโอ
ท่านพยายามอ้อนวอนชีวิตแต่ไม่คำตอบที่ท่านคือการเตะ
ท่านจึงขอเวลาซักนาทีหนึ่งเพื่อคุกเข่าลงภาวนาเพื่อบิดามารดาของท่าน
หลังจากนั้นพวกเขาจึงลั่นไกปืนสองนัดไปที่หัวใจและหน้าผากอย่างไร้ความปราณี ร่างของท่านล้มลงเพื่อยืนยันความเชื่อ
ขณะเดียวกันกับที่บิดามารดาท่านพบข้อความที่จากพวกต่อต้านไม่ให้ตามหาท่าน
พวกเขาจึงรอกระทั้งในตอนเย็นของวันที่ 14 เมษายน
ค.ศ.1945
บิดามารดาจึงพบร่างไร้วิญญาณของท่าน ที่จบชีวิตเช่นมรณสักขีด้วยวัยเพียง 14 ปี ในสภาพร่างกายพกช้ำ ร่างของท่านได้รับการฝังไว้ชั่วคราวที่มอนชิโอ
ก่อนในอีกเดือนถัดมาจึงมีการย้ายร่างของท่านกลับสู่มาตุภูมิเพื่อฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน
ผู้คนต่างขานามท่านว่า “เทวดาองค์น้อย” หลังจากนั้นในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ.1997 จึงมีการย้ายร่างของท่านเข้าไปไว้ในวัดซาน
วาเลนติโน และหลังจากกระบวนการมากมายสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส
ก็ได้ทรงอนุมัติการเป็นพยานความเชื่อของท่าน พิธีถูกจัดขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ.2013 ที่ผ่านมานี้เอง
“ไม่ว่าเราจะอยู่ในร่างกายหรือถูกเนรเทศจากร่างกายเราก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เป็นที่พอพระทัย” ( 2 โครินธ์ 5:9) แม้ท่านจะมีอายุที่น้อยนิดนักเมื่อเทียบกับมรณสักขีรายคน
แต่ท่านก็ได้สำแดงให้เราเห็นตามพระวาจาที่ยกมา เมื่อบิดามารดาของให้ท่านเลิกใส่เสื้อหล่อท่านปฏิเสธในทันทีเพราะท่านตระหนักดีว่าเสื้อหล่อนั้นคือเครื่องหมายที่แสดงว่าท่านคือผู้รับใช้ของพระเจ้า
แม้จะต้องถูกทำร้ายก็ตามท่านไม่ยอมสละความเชื่อและการเป็นข้าบริการของพระองค์อันเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไป
เช่นกันสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยก็คือการที่เรามอบความรักให้กับคนอื่นเหมือนที่เรารักตนเองกับรับแบกกางเขนไปด้วยใจมุ่งมั่นไปหาพระ
“ข้าแต่ท่านบุญราศีโรลันโด รีวี ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง