วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"โมสกาติ" นักบุญคุณหมอแห่งเนเปิลส์


นักบุญยูเซปเป โมสกาติ
      St.Giuseppe Moscati      
ฉลองในวันที่ : 16 พฤษจิกายน

คุณหมอยูเซปเป ตามสูจิบัตรแล้วเกิดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค..1880 ที่เมืองเบเนเวนโต จังหวัดเบเนเวนโต แคว้นกัมปาเนีย ประเทศอิตาลี  บิดาคือ นายฟรานเชสโก โมสกาติ ผู้พิพากษาประจำเมือง มารดาคือนางโรซา เด ลูกา มาร์ควิสแห่งโรเซโต ท่านได้รับศีลล้างบาปหกวันหลังจากที่ท่านเกิดซึ่งตรงกับวันฉลองนักบุญอิกญาซิโอ แห่ง โลโยลา ที่บ้านโดยคุณพ่ออิโนเชนโซ มาโย

ครอบครัวของท่านพำนักอยู่ที่เบเนเวโตอยู่สี่ปี ในปี ค..1881 เมื่อบิดาท่านได้เลื่อนเป็นที่ปรึกษาศาลอุทธรณ์ ครอบครัวของท่านจึงย้ายไปอาโกนา และอยู่ที่นั่นอีกสี่ปีบิดาท่านก็ได้รับเลื่อนให้เป็นประธานศาลอุทธรณ์ ครอบครัวของท่านจึงย้ายเข้าเนเปิลส์ตั้งแต่ ค..1884



เมื่ออายุได้ 8 ปี ในวันที่ 8 ธันวาคม ค..1888 ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก ที่ วัดของคณะสตรีผู้รับใช้พระฤทัยศักดิ์สิทธิ์ และในวัดนี้ท่านก็มักพบกับบุญราศีบาร์โตโล โลนโก ผู้ก่อตั้งสักการสถานแม่พระแห่งปอมเปอี ท่านได้รับการโปรดศีลกำลังเมื่อท่านมีอายุได้ 10 ปี

การศึกษาหลังจากจบระดับชั้นประถมศึกษา ท่านก็ได้เข้ารับการศึกษาต่อในระดับมัธยมที่วิตโตริโอ เอมานูเอเล (Vittorio Emanuele) ที่นั่นท่านแสดงออกถึงความรักต่อการศึกษาและความศรัทธา จนครูต่างพากันชื่นชมท่านทุกๆปี และเมื่อท่านจบการศึกษาในปี ค..1987 ท่านก็มีคะแนนที่ดีเยี่ยม  หลังจากนั้น ท่านก็ลงเรียนต่อในภาควิชาแพทยศาสตร์ ณ มหาทวิทยาลัยเมืองเนเปิลส์ แต่ในปีเดียวกันนั้นบิดาของท่านก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นสามปีท่านเพียรศึกษา กระทั้งจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมในวันที่ 4 สิงหาคม ค..1903



หลังจากนั้นระหว่างปี ค..1903 – ..1908 ท่านก็ได้ไปทำงานเป็นผู้ช่วยชั่วคราวที่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีหนทางรักษา การศึกษาการวิจัยและความสำเร็จของท่านดำเนินควบคู่ไปกับความรักต่อผู้ยากไร้ ท่านแสดงให้เห็นเมื่อครั้งภูเขาไฟวิสุเวียส ประทุในวันที่ 8 เมษายน ค..1906 ขณะที่ผู้คนกำลังหนีตายกัน ท่านได้ฝ่าเข้าไปช่วยอพยพผู้ป่วยในโรงพยาบาลของโตรเร เดล เกรโก (Torre del Greco) โรงพยาบาลเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากปากปล่องภูเขาไฟเท่าไรนัก ผู้ป่วยที่นั่นส่วนมากสูงวัย หลายๆคนเป็นอัมพาต เพราะท่านรู้สึกถึงอันตราที่จะเกิดขึ้น และก็เป็นดังนั้น เมื่ออพยพผู้ป่วยออกหมดได้ไม่นานหลังคาของโรงพยาบาลยุบลงมา

สองวันหลังจากนั้นท่านก็ได้ส่งจดหมายไปให้ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเนเปิลส์ เพื่อขอให้เขามอบเงินแด่ผู้แด่ผู้ที่ช่วยเหลือในการอพยพในครั้งนี้ โดยที่ท่านมิได้เอ่ยถึงชื่อท่านเลย และจากการผ่านการสอบ ในปี ค..1908 ท่านก็ได้เข้าไปทำงานเป็นผู้ช่วยในสถาบันเคมีทางสรีรวิทยา ที่นั่นท่านใช้เป็นที่ทำการทดลองและวิจัยจำนวนมากมาย ต่อมาเมื่ออหิวาตกโรคระบาดไปทั่วเนเปิลส์ ในปี ค..1911 ท่านก็ได้ช่วยเหลือแต่เป็นแบบที่ท่านชอบทำคือทำงานอยู่เบื้องหลังท่านวิจัยหาสาเหตุและวิธีการกำจัดมันซึ่งประสพผลสำเร็จตามคำสั่งของกระทรวง นอกจากนี้ในปีนั้นท่านยังได้เป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสถานแห่งศัลยแพทย์และได้รับปริญญาเอกในภาควิชาเคมีสรีรวิทยา อีกทั้งยังได้เข้าทำงานในโรงพยาบาล



..1911 ท่านก็ได้ย้ายมาเป็นผู้ช่วยประจำที่โรงพยาบาลรวม(the Ospedali Riuniti) หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกกับแพทย์ทั่วสารทิศด้วยความกล้าและบ้าบิ่น และในปีเดียวกันนั้นผ่านการเสนอของดร.อันโตนิโอ การ์ดาเรลลิ (Dr. Antonio Cardarelli) ท่านก็ได้วุฒิครูในการที่สอนที่มหาวิทยาลัยเคมีสรีรวิทยา ยังไม่พอท่านยังได้รับตำแหน่งบริหารสถาบันพยาธิกายวิภาคศาสตร์(the Pathological Anatomy Institute) สถานอันเป็นที่ชันสูตรศพ ที่นั่นท่านติดวลีในห้องพักเหนือไม้กางเขนว่า โอ้ แดนคนตายเอ๋ย เราจะเป็นความพินาศของเจ้า จากคำพูดของประกาศกโฮเชยา ในพระธรรมโฮเชยาบทที่ 13 ข้อ 14

จากความเศร้าโศกที่มาเยือนท่านอีกครั้งเมื่อมารดาของท่านเสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวานในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค..1914  ส่งให้หลายปีหลังจากนั้นท่านก็กลายมาเป็นแพทย์คนแรกๆในเนเปิลส์ที่นำอินซูลินมาใช้นการรักษาผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน และเมื่อสงครามโลกครั้งหนึ่งประทุขึ้น ท่านก็ได้อาสาไปเป็นทหาร แต่เจ้าหน้าที่ทางทหารได้มอบหมายให้ท่านทำหน้าที่ให้ดูแลทหารที่รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ครั้งนั้นท่านได้เยี่ยมปลอบประโลมและรักษาทหารไปมากกว่า 3000 นาย ในช่วงระหว่าง ค..1915 –..1918



ตามคำร้องขอของศาสตราจารย์ฟิลิปโป โบตตาซซิ ผู้อำนวยการสถานบันสรีรวิทยาและอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งเมืองเนเปิลส์ ท่านจึงได้ดูแลการทดลองและวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สถาบันเคมีทางสรีรวิทยา นอกจากนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่านยังเป็นทีรู้จักในวงการการแพทย์ บทความหลายๆชิ้นของท่านได้รับการตีพิมพ์ในบทวิจารณ์พิเศษ และรู้ไหมว่าระหว่างนั้น ท่านยังเคยถูกทาบทามในปี ค..1911 ให้เป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเรื่องบทวิจารณ์เพราะท่านสามารถพูดภาษาอังกฤษและเยอรมันได้เป็นอย่างดี

ความจริงท่านเคยได้รับเลือกให้ขึ้นเก้าอี้ของสถาบันเคมีทางสรีรวิทยา เพราะรู้ไหมตั้งแต่ ค..1903 –..1916 งานเขียนทางวิทยาศาสตร์ของท่าน 27  งานได้รับการตีพิมพ์ และงานบรรยายของท่านก็มีนักเรียนมากมายสนใจฟัง แต่ด้วยใจที่อุทิศตนต่อผู้ป่วยและบรรดาหมอน้อยๆในอนาคตของท่าน ท่านจึงเลือกที่จะอยู่โรงพยาบาลอันคือบ้านที่ท่านรัก  และหลังจากนั้นในปี ค..1919 ท่านก็ได้เลือนตำแหน่งไปเป็นผู้บจัดการโรงพยาบาลสำหรับผู้ที่ไม่มีหนทางการรักษา



ในฐานะอาจารย์ แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากผู้ป่วย ท่านก็ไม่เคยลืมนักเรียนของท่าน ท่านยิ้มเสมอเมื่อเจอพวกเขา นักเรียนหลายๆคนยกย่องว่าท่านเป็นครูคาทอลิกในอุดมคติ” 
ผมจำได้อย่างชัดเจนถึงความน่ารักความเรียบง่ายและรูปลักษณ์ของท่าน อ่อนโยนและผ่อนคลาย เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ตรงไปตรงมาและลึกซึ่ง อดีตนักเรียนของท่านเอนริโก โปลิเกตติ (Enrico Polichetti)
บ่อยครั้งที่ท่านพูดคุยกับเราเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้า พระญาณสอดส่อง ศาสนาคริสต์ของท่าน ใบหน้าของท่านสดใสด้วยความสุขเมื่อเราเดินตามท่านไปร่วมมิสซาในวัดหลายแห่งในเนเปิลส์อดีตนักเรียนของท่านโซชโกรโซ เทชเช (Soccorso Tecce)

หลายคนอาจสงสัยว่าท่านไปเอาพลัง ความรักต่อคนยากจนและความสมดุลระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนามาจากไหนในการทำงาน ท่านก็จะยกข้อพระคัมภีร์ที่ว่า ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า (ฟิลิปปี 4:13) โดยในทุกๆเช้าวันใหม่ ท่านก็จะเริ่มด้วยการนมัสการพระองค์ในศีลมหาสนิทตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนอาจจะไปเยี่ยมเยียนผู้ยากไร้ โดยวิธีมองลอดหน้าต่างวัดเข้าไปผ่านหน้าต่างในห้องของท่าน  ดร.เอนริโอ ซิกา เล่าว่า ฉันรู้ว่าเขารับศีลมหาสนิททุกวันด้วยการเตรียมตัวและโมทนาคุณพระเจ้า  การเตรียมตัวของท่านบางครั้งก็เป็นการอดอาหารอีกด้วย


ศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลางชีวิตของท่านจริงๆ เช่นครั้งหนึ่งที่ท่านได้รับเชิญให้ไปเป็นแขกที่บ้านของศาสตราจารย์ฟิลิปโป โบตตาซซิ ที่ ดิโซ ซึ่งเขาก็รู้นิสัยท่านดี เขาจึงจัดให้มีมิสซาในวัดส่วนตัวของเขาเอง แต่เขาดันลืมไปแจ้งพระสงฆ์ ดังนั้นในเช้าวันถัดมาท่านจึงตื่นแต่เช้ากว่าปกติ แล้วเดินทางไปฟังมิสซาพร้อมกับชาวบ้านในหมู่บ้าน อีกครั้งเมื่อท่านเดินทางไปปอมเปอี พร้อมกุยโด ปิกชินิโน ลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นผู้ช่วยของท่าน ท่านได้ถามเขาว่า ขณะที่พวกเราจะไปปอมเปอีวัลเล่ย์ เธอจะกรุณาไปร่วมรับศีลในสัการสถานได้ไหม ถ้าเธอเห็นด้วย อย่าลืมที่จะอดอาหารนะ

ความศรัทธาต่อพระมารดาพระเจ้าของท่านมีตั้งแต่เด็ก ท่านมักพูดถึงพระนาง ท่านมีสายประคำไว้ที่กระเป๋าเสื้อกั๊กเสมอ ซึ่งท่านมักหยิบออกมาจูบ และยามที่ระฆังทูตสวรรค์แจ้งสาส์นดังขึ้นท่านจะจูบทำสำคัญกางเขน และขอให้ทุกคนในโรงพยาบาลสวดบททูตสวรรค์แจ้งสาส์นกัน นอกจากท่านจะมีรูปแม่พระหินอ่อนอยู่ที่บ้านแล้ว ท่านยังมีรูปปั้นแม่พระบรอนซ์องค์เล็กๆกำลังอุ้มพระกุมารบนตัก มืออีกข้างแตะที่ปากแสดงสัญญาณให้เงียบ ที่มีฐานจารึกว่า พรหมจารีแห่งความเงียบ อยู่ที่โต๊ะทำงานของท่านเอง


ท่านจำวันฉลองของแม่พระได้ดีและเตรียมใจเสมอเพื่อร่วมฉลองทุกๆครั้ง นอกจากนี้ท่านยังงดเนื้อสัตว์ในวันศุกร์ ท่านอุทิศตนแด่แม่พระแห่งปอมเปอี(ผ่านบุญราศีบาร์โตโล โลนโก) , แม่พระผู้ปฏิสนธินิรมล และแม่พระแห่งคำแนะนำดีๆที่ท่านได้ถวายคำปฏิญาณพรหมจรรย์ไว้ในวัดของซิสเตอร์ศีลมหาสนิท ของ นักบุญเจร์ตรูเด้โคเมนโซลี่ ท่านรักแม่พระมากๆถึงขนาดเขียนงานเขียนถึงพระนางในชื่อ ข้าพเจ้าสวดวันทามารีย์อย่างไรกัน

“…นางฟ้าน้อยๆของคุณได้ไปสวรรค์ในขณะที่ยังเยาว์วัยเช่นเดียวกันกับเพื่อนรักของเธอ บุญราศีเทเรซา ผู้ที่จะมองดูอยู่ข้างหลังคุณและภรรยาของคุณจากเบื้องสูงและขอบคุณคุณเสมอ  จดหมายลงวันที่ 7 มีนาคม 1924  ถึงเพื่อนของท่านที่ต้องสูญเสียบุตรสาวไป แสดงให้เราเห็นถึงความศรัทธาของท่านต่อนักบุญเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู ท่านรู้เรื่องราวชีวิตของเธอเป็นอย่างดีและมักอ้างอิงคำพูดของเธอในบันทึกของท่านด้วย จึงไม่แปลกที่ท่านจะมีภาพของเธอไว้ในห้องนอน พระเป็นเจ้าทรงนำมรรคาของผมให้ห่างไกลโอกาสของหารทำบาป พระองค์ทรงอนุญาตให้ผมอยู่ในพระเมตตาอันมิรู้สิ้นสุด สินติสุขพิเศษ และความเงียบของพระองค์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไม่นานมานี้ เมื่อได้อ่านเรื่องราวของบุญราศีเทเรซา แห่ง พระกุมารเยซู ผมก็ได้ค้นพบข้อความหนึ่งที่เหมาะกับผม โอ้ พระเจ้าข้า แม้ว่าการท้อถอยจะเป็นบาป ถูกแล้ว มันคือบาปแห่งการถือตน เพราะมันนำไปสู่ความเชื่อที่ว่าพระองค์จะทรงยอมความคิดส่วนตัวของผมที่ว่าผมได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แทนที่จะตระหนักเสมอว่าตัวเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ไร้ประโยชน์จากบันทึกของท่านระหว่างการเดินทางไปประเทศอังกฤษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม ค..1923


คุณหมอผู้ยากไร้ เป็นชื่อที่ดูขัดแย้งกับอาชีพท่านสุดๆ แต่จริงๆแล้ว ท่านไม่ใช่คนยึดติดกับเงินทอง ท่านอยู่อย่างประหยัดและหลีกเลี่ยงการปรับแต่งทุกชนิด ท่านไม่เคยมีรถม้าหรือรถเหมือนเพื่อนของท่านเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้บรรดานักเรียนเคยถามท่านแล้วว่าทำไมท่านไม่มีรถ ซึ่งทุกครั้งท่านก็จะตอบอย่างรำคาญๆว่า ฉันเป็นคนยากจน ฉันไม่มีเงินพอจะจ่ายค่าอะไรพวกนั้นด้วยการทำงานทั้งหมดหรอก โปรดเชื่อฉันเถอะ  แล้วเงินท่นใช่ไปกับอะไร คำตอบก็คือ เงินเดือนส่วนมากของท่านถูกจัดไว้เพื่อคนยากจน

สองร้อยลีร์สำหรับคำปรึกษา ครั้งหนึ่งเมื่อท่านถูกเรียกตัวมาผ่าตัดชายที่ป่วยด้วยอาการไส้ติ่งอักเสบกับศาสตราจารย์ฟรานเชสโก บรันกาชโช หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นท่านก็ได้รับคำสั่งให้วางถุงน้ำแข็งที่หน้าท้องของผู้ป่วย ท่านมาเยี่ยมเขาสี่ครั้งในสองสัปดาห์จนเขาหาย ในตอนท้ายเมื่อท่านได้รับเงินท่านก็อุทานว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ว่าพวกเขาใส่ เพราะท่านพบว่าในนั้นมีแบงค์อยู่ 1000 ลีร์  เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็รีบไปที่บ้านของชายผู้นั้น พร้อมพุดเสียงดังต่อหน้าเขาว่า คุณบ้าหรือคุณคิดว่าฉันเป็นขโมยกัน มันทำให้ครอบครัวนั้นถึงกับผงะไปเลย ค่าทำเนียมไม่พอหรือไง? ชายผู้นั้นเลยหยิบแบงค์ 1000 ลีร์ส่งให้ท่าน แต่ท่านดันกลับพร้อมควักเงินจำนวน 800 ลีห์ในกระเป๋าของท่านวางไว้ที่โต๊ะของเขา ก่อนจากวิ่งจากไป ประการฉะนี้ผู้เชี่ยวชาญผู้มีชื่อเสียงจึงได้รับค่าจ้างเพียง 200 ลีร์สำหรับสี่คำปรึกษา


คุณหมอผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซิสเตอร์คนหนึ่งยังจำเรื่องราวของท่านได้ดี ที่ครั้งหนึ่งที่มีสตรีท่านหนึ่งกลับมารักษาอีกครั้งเพราะอาการยังไม่หายดีนัก ท่านรู้สึกสงสารเธอจับใจ ท่านจึงคิดวิธีช่วยเหลือเธอ ด้วยท่านแสร้งไปตำหนิครอบครัวของเธอเรื่องการปฏิบัติตัวที่บ้านหลังรับยาไปแล้ว ก่อนที่จะเดินออกมา มันทำให้ครอบครัวนั้นรู้สึกเป็นทุกข์มาก แต่ขณะที่เขาจัดหมอนผู้ป่วยนั้น เขาก็พบแบงค์จำนวน 500 ลีร์ ที่ท่านเอาซุกไว้ ท่านทำเช่นนี้บ่อยครั้ง ท่านไม่เก็บค่ารักษาแถมยังมอบเงินให้ในซองพร้อมใบสั่งยาอีก

12 เมษายน ค..1927 เช่นปกติทั่วไปของทุกวันของท่าน ท่านร่วมมิสซาและรับศีลมหาสนิท ก่อนจะใช้เวลาภาคเช้าในโรงพยาบาลสำหรับผู้ที่ไม่มีหนทางการรักษา และกลับเข้าบ้านที่วิอา คิสเตรนา เดล ลอลิโอ 10 ที่นั่นท่านทานอาหารมื้อเบาๆ ก่อนตรวจผู้ป่วยตามปกติ กระทั้งเวลาประมาณบ่ายสามโมง ท่านได้นั่งลงพักที่เก้าอี้ของท่าน และคืนชีวิตแด่พระเจ้าอย่างสงบ ด้วยอายุ  46 ปี 8 เดือน


ความเศร้าโศกระงมไปทั่ว คุณหมอนักบุญตายแล้วทุกคนต่างเศร้า โดยเฉพาะผู้ยากไร้ทั้งหลาย สามปีหลังจากการขอจากบรรดาฆราวาสและพระสงฆ์ก็มีการเปิดกระบวนการพิจารขอแต่งตั้งท่านเป็นบุญราศี กระทั้งในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค..1975  ก้าวอย่างสู่แท่นบูชาของท่านก็ยิ่งใกล้ขึ้นเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเาโล ที่ 6 ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี เป็นบุญราศีผู้น่ารัก ที่ตราตรึงใจเพื่อนหลายๆคน เป็นบุคคลที่ลบข้อกังขาที่ว่าวิทยาศาสตร์ไปกับพระเจ้าไม่ได้ เป็นคุณหมอผู้ถือพรหมจรรย์แต่สนับสนุนให้นักเรียนแต่งงานและพร้อมเสมอที่จะให้คำปรึกษา

และแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงผ่านอัศจรรย์การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของชายหนุ่มในเนเปิลส์ สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ก็ได้ทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็นนักบุญแพทย์ยุคใหม่คนแรกของพระศาสนจักร ในวันที่ 25 ตุลาคม ค..1987


อย่ามักใหญ่ใฝ่สูง แต่ยอมทำสิ่งต่ำต้อยเถิด อย่าทะนงว่าตนฉลาด (โรม 12:16) จากประวัติของคุณหมอจูเซปเป โมสกาติ เราเห็นว่าท่านมีตำแหน่งหน้าที่ทางสังคมมากแค่ไหน แต่กระนั้นท่านก็ไม่ทะนงตนว่ารวยหรือฉลาด ท่านกลับถ่อมตนท่านเองว่าเป็นคนยากจน  ท่านดูแลผู้ป่วยด้วยใจและสอนด้วยใจ ดังเมื่อท่านจะได้รับตำแหน่งสูงๆท่านก็ปฏิเสธเพราะท่านไปปรารถนาจะทิ้งผู้ป่วย นักเรียนของท่านไป เช่นกันกับนักบุญหลายๆคน ท่านเห็นพระเยซูเจ้าในตัวพวกเขา พระองค์แฝงพระวรกายพระองค์ไว้ในสิ่งเล็กๆที่หลายคนอาจมองข้าม เมื่อเห็นเงินทองและอำนาจ ในเพื่อนๆของเรา  

วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ยืนยันอย่างแน่วแน่ และนี่คือหนึ่งการเผยแสดงของพระเจ้า วิทยาศาสตร์ต่อจากนี้ไป
จูเซปเป โมสกาติ


ข้าแต่ท่านนักบุญจูเซปเป โมสกาติ ช่วยวิงวอนเทอญ


ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...