วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

"ราฟาเอล คาลินอฟสกี" บันไดสู่ภูเขาคาร์แมล


นักบุญราฟาเอล คาลินอฟสกี
St. Rafał Kalinowski
ฉลองในวันที่ : 19 พฤศจิกายน

หลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 13 ทรงสถาปนาบุญราศียอห์น แห่ง ไม้กางเขนขึ้นเป็นนักบุญในปี ค..1726  นับจากนั้นก็ไม่มีนักบุญปรากฏขึ้นในคณะคาร์เมไลท์ชายไม่สวมรองเท้า ทุกคนในคณะยังคงเฝ้ารอวันนั้นอีกครั้ง วันที่สมาชิกคาร์เมไลท์ชายไม่สวมรองเท้าคนใดคนหนึ่งจะได้รับเกียรติขึ้นเป็นนักบุญอยู่เสมอ กาลเวลาล่วงไปนานถึง 109 ปี การรอคอยนั้นก็ใกล้จะจบลงเต็มทีแล้ว เมื่อเสียงทารกชายดังลอดผ่านออกมาจากครอบครัวอาจารย์คณิตศาสตร์นามอันเดรจ คาลินอฟสกี กับ โยเซฟา โปวอยสกีค์ ในวันที่ 1 กันยายน ค..1835 ที่  วิลนีอุส อาณาจักรรัสเซีย(ปัจจุบันอยู่ในประเทศลิทัวเนีย) แต่น่าเศร้าหลังจากให้กำเนิด โยเซฟ บุตรคนที่สองได้ไม่กี่วันมารดาท่านก็ได้จากไป

ต่อมาเมื่อมีวัยได้ 8 ในปี ค..1843 ท่านก็ถูกส่งเข้ารับการศึกษาในสถาบันชนชั้นสูงในวิลนีอุส ที่บิดาท่านเป็นอาจารย์สอนอยู่ ก่อนจบในปี ค..1850 พร้อมด้วยรางวัลเหรียญทองจากคะแนนที่ดีเยี่ยม และเนื่องจากท่านเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเชื่อท่านจึงรู้สึกถึงกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ แต่ท่านเลือกที่จะเชื่อบิดาท่านที่แนะนำให้ท่านเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นท่านจึ่งเข้าศึกษาต่อที่สถาบันเกษตรศาสตร์ ที่ ฮอรี ฮอร์กี ประเทศรัสเซีย เป็นระยะเวลาตั้งแต่ปี ค..1851 ถึง ค..1852

หลังจากนั้นในช่วงระหว่างปี ค..1853 ถึง ค..1857 ท่านก็ตัดสินใจย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนวิศวกรรมทหาร ที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซียต่อ จนได้รับปริญญาในด้านงานวิศวกรรม พร้อมยศร้อยโท ทันทีจากนั้นท่านก็เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ของโรงเรียน กระทั้งในปี ค..1859 ท่านก็ได้มีส่วนร่วมในออกแบบทางรถไฟสายโอเดซา-เคียฟ-เคิร์สต์ ตรงช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นท่านจึงเดินทางกลับมาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และได้ย้ายไปทำงานที่ป้อมเบรสตในเดือนกรกฏาคม ค..1860 เป็นระยะเวลาสามปี ซึ่งที่นั่นท่านได้ตั้งโรงเรียนในวันอาทิตย์ โดยมีท่านเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง พร้อมจำกัดค่าใช้จ่ายของท่านเองเพื่อให้มีเงินพอที่จะสามารถช่วยเหลือผู้ยากไร้ในพื้นที่



จนเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองในโปแลนด์เพื่อต่อต้านการกดขี่ของรัสเซียขึ้นในปี ค..1863 ท่านที่น่าจะรู้สึกหนักอกหนักใจกับรัสเซียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินลาออกจากกองทัพรัสเซียมาร่วมกับกองกำลังกบฏ แต่โชคช่างไม่เข้าข้างท่านเท่าไรนัก เพราะ ในวันที่ 24 มีนาคม ค..1864 ท่านก็ถูกจับตัวได้และถูกตัดสินให้นำไปประหารชีวิต แต่อย่างโชคก็ยังคงเข้าข้างท่านบ้างด้วยมีการลดหย่อนโทษให้ท่านเป็นการไปทำงานในไซบีเรียเป็นระยะเวลา 10 ปี เพราะครอบครัวท่านเข้าช่วย

ณ ที่มั่นในไซบีเรีย ครั้งแรกท่านถูกส่งไปทำงานในเหมืองเกลือ ก่อนสามปีถัดมาท่านจึงได้รับนิรโทษกรรม ท่านจึงไม่ต้องทำงานหนักและย้ายไปอีกเมืองหนึ่ง จากนั้นระหว่าง ค..1871- ..1872 ท่านก็เข้าทำงานด้านอุตุนิยมวิทยาพร้อมมีส่วนร่วมในการวิจัยชายฝั่งทะเลไบคาล



ซึ่งที่ดินแดนไซบีเลียนั้น ท่านกลายเป็นผู้นำเรื่องฝ่ายจิตของบรรดานักโทษทั้งหลายท่านคอยปลอบประโลมพวกเขาและให้กำลังใจพวกเขา สร้างความหวังให้พวกเขา จนบ่อยครั้งบรรดาชาวโปแลนด์ที่ติดคุกที่ไซบีเรียมักสวดว่า ผ่านการเสนอวิงวอนของคาลินนอฟสกี ทรงพระเมตตาเทอญ  นอกจากนั้นท่านยังเป็นสหายที่ดีของพระสงฆ์ที่ไซบีเรีย ท่านคอยช่วยเขาในการเตรียมบุตรหลานของนักโทษในการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก พร้อมเตรียมตัวท่านเองให้พร้อมสำหรับกระแสเรียกของท่าน การเข้าอาราม

ดังนั้นหลังจากได้รับการปล่อยตัวในปี ค..1873 ท่านจึงพยายามเคลียร์ปัญหาต่างๆเพื่อเข้าอารามตามที่ใจหวัง แต่อย่างไรท่านก็ถูกเนรเทศออกจากประเทศลิทัวเนีย ท่านจึงเดินทางไปกรุงวอร์ซอ ในปี ค..1874  และได้รับงานเป็นพระอาจารย์สอนพิเศษให้กับเจ้าชายออกัสติด ซาร์โตริสกี ท่านจึงออกเดินทางไปยังกรุงปารีสในวันที่ 8 กันยายน ปีนั้น



พ่อ แม่ พยาบาล พี่ชาย เพื่อนและคนดูแล คือความสัมพันธ์ของท่านต่อเจ้าชายน้อยวัย 16 ปี ผู้ที่ท่านติดตามไปทุกๆที่เพื่อสุขภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงถูกวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค ท่านเขียนเช่นนี้จริงๆในจดหมายถึงน้องสาวต่างมารดา ท่านเป็นแบบอย่างของคริสตชนที่ดี ท่านมีอิทธิพลมากสำหรับเจ้าชายน้อย ซึ่งภายหลังเจ้าชายน้อยผู้นี้ก็ได้ถวายตนในคณะซาเลเซียนและได้เป็นบุญราศีในเวลาต่อมา และเพราะการได้รู้จักเจ้าชายน้อยผู้นี้ก็ทำให้ท่านได้รู้จักเจ้าหญิงมาร์เซลีน ซาร์โตริสกี ซึ่งภายหลังถวายตนเป็นซิสเตอร์อารามคาร์แมล พระญาติของเจ้าชายที่ทำให้ท่านรู้จัก คาร์เมไลท์

ที่สุดในฤดูร้อน ค..1876 ที่ ดาวอส ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ หลังจากการคิดอย่างยาวนานท่านก็ตัดสินใจจะไล่ตามความฝันในคณะคาร์เมไลท์ชายไม่สวมรองเท้า แต่ต้องยืดเวลาเพราะหาคนแทนไม่ได้ กระทั้งในวันที่ 5 กรกฎาคม หลังจากสามปีที่อยู่ร่วมกันท่านก็ได้โบกมืออำลาศิษย์ที่ปารีส ก่อนมุ่งสู่อารามคาร์แมล ที่ ลินซ์ ประเทศออสเตรีย พร้อมได้รับนามใหม่ว่า ภารดาราฟาเอล แห่ง นักบุญยอแซฟ และเข้าบ้านเณรคณะที่กราซ



เป็นระยะเวลาหนึ่งปีท่านจึงเข้าพิธีปฏิญาณตนครั้งแรกพร้อมรับชุดคณะในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค..1878  พร้อมออกกเดินทางไปศึกษาด้านเทววิทยาและปรัชญาต่อในประเทศฮังการี และเข้าพิธีปฏิญาณตนตลอดชีพในวันที่  2​​7 พฤศจิกายน ค..1881 และได้รับศีลอนุกรมเป็นตัวแทนพระคริสตเยซูที่อารามคาร์เมไลท์ชาย ใน เทรนา ใกล้ๆคราคูฟ เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค..1882

ทันทีท่านก็ได้แต่งตั้งให้เป็นนวกจารย์ ก่อนในปี ค..1883 ท่านจึงถูกเลือกให้เป็นรองอธิการอารามเทรนา และด้วยความร้อนรนที่จะฟื้นฟูคาร์เมลท์ในโปแลนด์ที่เสื่อมโทรมไปจากการครอบครองของรัสเซีย ท่านจึงเปิดอารามคาร์แมลสำหรับผู้หญิงและผู้ชายขึ้นในเปรมิสเลีย ในปี ค..1884 และเปิดอารามคณะชายที่เลโอโปลี ประเทศยูเครน กับอารามหญิงในลโวฟในปี ค..1888 หลังจากนั้นในอีกปีถัดมาท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจการพระศาสนจักร



นอกจากนั้นท่านยังค้นพบเอกสารทางประวัติศาสตร์ของอารามคาร์เมไลท์ในโปแลนด์ ซึ่งด้วยความช่วยเหลือของบรรดาซิสเตอร์คาร์เมไลท์ทำให้ท่านได้จัดพิมพ์จดหมายเหตุอารามคาร์เมไลท์ของวิลนา , วอร์ซอ , เลโอโปลีและคราคูฟขึ้น ทังนี้ท่านยังได้ตีพิมพ์บันทึกวิญญาณของนักบุญเทเรซา แห่ง ลิซีเออร์ ฉบับภาษาโปแลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังได้จัดตั้งกลุ่มฆราวาสคาร์เมไลท์และชมรมสายจำพวกแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมลขึ้นอีกด้วย


และเนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาปัญหาหลักคือการขาดกระแสเรียก ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจเปิดอาราม สามเณรราลัยสำหรับทดลองกระแสเรียกในแบบที่ผู้สนใจจะทดลองอยู่ในอารามและเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมในท้องถิ่น ที่ วาโดวิซ ในปี ค..1892 ซึ่งเริ่มด้วยความนบนอบและความยากลำบาก ก่อนจะกลายเป็นความประสบความสำเร็จเมื่อเริ่มกระแสเรียกมากมายหลั่งไหลเข้ามายังที่นั่น ทำให้เจ็ดปีหลังจากนั้นท่านจึงได้สร้างสามเณรราลัยขนาดใหญ่ พร้อมวัดนักบุญยอแซฟอันงดงามขึ้น ณ ที่นั่น



หลังจากนั้นท่านก็ได้รับเลือกให้เป็นรองอธิการอารามที่เทรนาอีกครั้งในปี ค..1894 ในเวลาเดียวกันที่ท่านทำงานด้านกระแสเรียก ท่านก็อุทิศตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักในเหนื่อยในการช่วยบรรดาผู้คนจากตมของบาปผ่านศีลอภัยบาป เหตุนี้ท่านจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับการฟังแก้บาปที่ท่านเรียกว่า สักขีแห่งการฟังแก้บาปทั้งที่ในเทรนา และอารามทั้งสองแห่งในคราคูฟ  ท่านไม่เคยปฏิเสธใครและไม่เคยเสียดายเวลาเลยซักนิดที่จะฟังแก้บาป แม้จะป่วยเท่าใดก็ตาม ท่านยังภาวนาเพื่อการกลับใจของประเทศรัสเซียและการเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระศาสนจักรตะวันออกและตะวันตก ท่านถวายความทุกข์ทรมานและการทรมานร่างกายเพื่อสิ่งนี้และเชิญชวนทุกคนให้ทำ

ท่านยังศรัทธาต่อแม่พระมากๆ ตั้งแต่ในวัยหนุ่มที่ท่านได้อ่านหนังสือเรื่องแม่พระหลังจากกลับจากการสร้างทางรถไฟ ท่านเคารพและรักพระนางในฐานะมารดาและผู้ก่อตั้งคณะ ท่านพยายามอย่างหนักเพื่อให้มีการตระหนักถึงสถานนะของพระนางเสมอและยังทำงานเพื่อพระสิริของพระนาง ท่านกล่าว สำหรับบรรดาภารดาและภคินีคาร์เมไลท์ ต้องเคารพพระนางมารีย์ และเราต้องรักพระนาง หากเราพยายามเลียนแบบคุณธรรมของพระนาง ต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งความถ่อมตนและการระลึกถึงในคำภาวนาของพระนางตาของเราจะต้องเปิดอยู่ตลอดให้พระนาง ความรักของเราทุกคนต้องนำโดยพระนาง เรายังต้องดำรงไว้ซึ่งความทรงจำอันเป็นประโยชน์ของพระนางและมุ่งมั่นที่จะสัตย์ซื่อต่อพระนางเสมอไป




ในปี ค..1897 ท่านก็ได้รับเลือกอีกครั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการอารามที่วาโดวิซ หลังจากนั้นท่านทำการสร้างวัดหลังปัจจุบันและอารามหลังที่สองขึ้น แต่แล้วสุขภาพท่านก็แย่ลงจนไม่อาจคุมงานก่อสร้างได้ ท่านจึงขอออกจากตำแหน่งในตุลาคม ค..1898 พร้อมกับไปอารามที่เทรนา หลังจากนั้นสุขภาพท่านก็แย่ลงเรื่อยๆ อย่างไรในปี ค..1900 ท่านก็ได้ตำแหน่งเป็นผู้แทนคณะของอารามภูมิภาคนี้ แต่ท่านก็มีสุขภาพที่แย่ๆมากๆจนเข้าประชุมไม่ได้ ที่สุดในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค..1907 ในอารามที่วาโดวิซ ท่านก็ถึงแก่มรณกรรมอย่าสงบด้วยอายุ 72 ปี หลังจากอุทิศชีวิตเพื่อให้บรรดาพี่น้องคาร์เมไลท์ขึ้นสู่ภูเขาคาร์แมลอย่างครบครัน เราเสียนักบุญไปที่เมืองนัั้น แต่เมืองนั้นก็ให้กำเนิดนักบุญอีกคน คือ นักบุญสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2


ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอันเป็นที่ยอมรับจากทุกคน หลายคนยังจำได้ถึงภาพในพิธีมิสซาที่สงบนิ่ง ภาพตัวอย่างของผู้นำที่ดีในชีวิตผู้ถวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดภาวนา ชื่อเสียงท่านเป็นที่เลื่องลือไปกระทั้งเกิดอัศจรรย์ผ่านคำเสนอวิงวอนของท่านอันนำไปสู่การสถานาท่านเป็นบุญราศีในเมืองคราคูฟในวันที่  22 มิถุนายน ค..1983 โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ระหว่างการเสด็จเยือนประเทศโปแลนด์ และที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็จบลงเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบนักบุญ ในวันที่ 17 พฤศจิกายนปี ค..1991 ทำให้ท่านเป็นนักบุญสมาชิกคณะคาร์เมไลท์ชายคนแรกต่อจากนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน


หากพระองค์ทรงเก็บรักษาความผิดไว้ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดเล่าจะยืนหยัดอยู่ได้ แต่พระองค์ประทานอภัย จึงได้รับความเคารพยำเกรง(สดุดี 130:3-4) ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ท่านจะรักการฟังแก้บาปเพราะเป็นการเผยสำแดงถึงพระเมตตาของพระเจ้าต่อมนุษย์ ที่จะทำให้พระนามพระองค์เป็นที่สรรเสริญ บางทีที่ท่านฟื้นฟูคณะคาร์เมไลท์ในโปแลนด์ก็เพราะท่านอาจต้องการช่วยบรรดาวิญญาณทั้งหลายให้ได้รับความรอด เดชะพระนามพระคริสตเจ้า ก็ได้   เช่นกันบางทีเราต่างมีพันธกิจต่างกันไปแต่จุดหมายเดียวของเราคริสตชนก็คือการให้พระนามพระเจ้าเป็นที่สรรเสริญและสวรรค์ ทุกคนจะต้องได้พบกันสวรรค์ ไปร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าพร้อมกัน ด้วยใบหน้ายินดี  แล้วพบกันในสวรรค์ ในวันหนึ่ง แต่ในตอนนี้เรามาเป็นบันไดพาทุกคนไปสวรรค์เหมือนท่านกันเถอะ


ข้าแต่ท่านนักบุญราฟาเอล คาลินอฟสกี ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...