คารวียะมารีอา เดล การ์เมน กอนซาเลซ
บาเลรีโอ
Venerable
Maria del Carmen González-Valerio
จะเอื้อนเอ่ยเจื้อยแจ้วถึงเรื่องราว ของเด็กสาวธรรมดาไร้ราศี
ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยใจที่แสนดี เปี่ยมฤทธีความรักเกินเยาว์วัย
มารีอา
นามเธอช่างดีนัก เปี่ยมด้วยศักดิ์มารีย์อันผ่องใส
แม้ชีพจากโลกนี้ไปแสนไกล ในดวงใจเธอนั้นคือนักบุญเอย
ตำนานบทนี้เริ่มขึ้นในวันที่
14 มีนาคม ค.ศ.1930 ท่ามกลางความวุ่นวายของแผ่นดินสเปนในครอบครัวของนายฆูลีโอ
กอนซาเลซ บาเลรีโอ กับนางการ์เมน ไซเอนซ์ เด เอเรดีอา
หลังจากมีลูกด้วยกันแล้วหนึ่งคนทั้งสองก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงตัวน้อยๆ (หลังจากนั้นพวกเขาก็มีลูกด้วยกันอีกสามคน) แต่ความยินก็อยู่ได้ไม่นานเพราะเด็กน้อยมีสภาพที่อยู่ระหว่างเส้นกั้นบางๆระหว่างความตาย
ดังนั้นทารกน้อยจึงได้รับศีลล้างบาปในทันที แต่พระเจ้าก็มิได้ทรงโปรดให้ทารกน้อยต้องตายไปพร้อมบาปเดิม
พระองค์ทรงเตรียมทารกคนนี้ไว้เพื่อแสดงพระเกียรติคุณของพระองค์ให้โลกเห็น
และเพื่อเตรียมตัวเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้ให้พร้อมเพื่องานนี้
พระองค์ก็ทรงโปรดให้ ฯพณฯท่าน เตเดซกินี
ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปาในประเทศสเปนสหายของครอบครัว
ให้มีความคิดให้ท่านรับศีลกำลัง ในวันที่ 6 เมษายน
ค.ศ.1932 ขณะท่านมีอายุเพียงสองปีเท่านั้น
ตั้งแต่เยาว์มารีอาก็ได้แสดงออกถึงความรักต่อคนยากไร้
มีครั้งหนึ่งมีขอทานคนหนึ่งได้มาสั่นกระดิ่งที่หน้าบ้านของท่าน
ท่านจึงเดินมาเปิดพร้อมมอบเงินออมเล็กๆน้อยๆทั้งหมดของท่านแก่เขา
พร้อมพูดกับเขาว่า “ตอนนี้ สั่นอีกครั้งนะคะ
เพื่อคุณแม่จะได้ให้อะไรกับคุณบ้าง” นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนรู้จักพอประมาณมากๆ
มารดาของท่านเล่าว่า “วันหนึ่งมารีอา การ์เมน กำลังจะไปงานวันเกิดกับเพื่อนๆ
ดิฉันเลยจัดให้เธอใส่ชุดไม่มีแขนคอต่ำตัวน้อย และบอกเธอว่าไม่ต้องไปพับมัน
แต่ดิฉันก็รู้ว่าเธอใส่เสื้อแจ็คเก็ตทับมันไว้ ทำให้ดิฉันโกธรเธอและดุเธอ
เธอบอกดิฉันพลางร้องไห้ว่า เธอจะไม่ออกไปพร้อมกับชุดนี้
พอดีกันมารดาดิฉันก็ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ท่านจึงเข้ามาบอกดิฉันว่าดิฉันไม่มีสิทธิ์หยุดความรู้พอประมาณจากพระเจ้าของเธอได้
และดิฉันต้องรับผิดชอบต่อระเจ้าเพื่อการศึกษาที่ดิฉันมอบให้กับเธอ ดังนั้นมารีอา
การ์เมนจึงจะไปงานเลี้ยงพร้อมแจ็คเก็ต” และเช่นเด็กทั่วไปท่านมีงานอดิเรกตามประสาเด็กคือการสอนตุ๊กตาตัวน้อยของท่านทำสำคัญมหากางเขนและสวดภาวนากับสะสมภาพศักดิ์สิทธิ์ที่ได้มา
นอกจจากนั้นท่านรักการสวดสายประคำมากตั้งแต่มีอายุได้ห้าปีพร้อมกับครอบครัว
และการสวดบทร่ำวิงวอนแม่พระจากดวงใจเล็กๆด้วยความภาคภูมิใจ ท่านมีบันทึกกิจการที่ทำให้ท่านรู้คุณธรรมและหน้าที่ในแต่วันของการดำเนินชีวิต
อาทิ การเชื่อฟัง ทรมานร่างกาย การศึกษา
สวดสายประคำ รับศีล ร่วมมิสซา สวดภาวนาเป็นต้น
นอกเหนือจากนี้ท่านยังชอบถวายการเสียสละน้อยๆของท่านแด่พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า
ครูคำสอนที่เตรียมท่านให้พร้อมรับศีลอภัยบาปเล่าว่า “เมื่อดิฉันได้เตรียมเด็กๆสำหรับรับศีลอภัยบาป
ดิฉันจะเห็นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกลัวของบาป
และความพยายามที่จะปฏิบัติกิจใช้โทษบาปของเธอให้ดีที่สุด”
หลังจากนั้นเมื่ออายุได้หกปีท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก
ด้วยแรงผลักดันจากมารดาของท่าน โดยภายหลังเธอจึงให้เหตุผลว่า
“ดิฉันเชื่อมั่นว่านับจากนั้นสเปน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของเรา จะต้องผ่านเวลาที่ยากลำบาก
หนึ่งจะมีการเบียดเบียนก่อตัวขึ้น และดิฉันต้องการให้มารีอา การ์เมน
รับศีลมหาสนิทครั้งแรกก่อน”
“เอาจริงๆแล้วเธอเติบโตในด้านความศักดิ์สิทธิ์หลังจากการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของเธอ” มารดาท่านกล่าว
นอกจากนั้นแล้วในโอกาสนี้ท่านยังได้ถวายตัวทั้งครบแด่พระเยซูเจ้า
ที่สุดความวิโยคครั้งยิ่งใหญ่ก็ซาซัดเข้ามายังครอบครัวคาทอลิกที่ดีและชาตินิยมนี้ ในวันที่
15 สิงหาคม ค.ศ.1936 เมื่อบรรดาทหารคอมมิวนิสต์เขาล้อมจับบิดาท่าน “ลูกๆของเรายังเล็ก เกินกว่าจะเข้าใจ
จงบอกพวกเขาว่าคุณพ่อของเขามอบชีวิตของเขาเพื่อพระเจ้าและเพื่อสเปน
เพื่อให้ลูกหลานของเราโตขึ้นมาท่ามกลางคาทอลิกสเปน ที่ซึ่งกางเขนครองโรงเรียน” คือคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนบิดาท่านจะถูกฆ่าในอีกวันถัดมา
หลังจากการจากไปของเสาหลักของครอบครัว
มารดาท่านก็ต้องไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่สถานกงสุลเบลเยียม
เพราะความเชื่อมั่นในพระคริสตเจ้า ส่วนท่านและพี่น้องก็ถูกพาไปปอยู่กับคุณป้า
ที่นั่นทุกๆวันท่านก็มักสวดภาวนาต่อรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้คนที่ฆ่าบิดาท่านให้กลับใจ
บางวันท่านก็เชื้อเชิญคุณป้าว่า “ป้าฟีฟาคะ เรามาสวดให้คุณพ่อและคนที่ฆ่าท่านกันดีกว่าคะ” และเมื่อท่านเห็นพี่จูลีโอหรือคุณป้าโซเฟียเศร้าท่านก็เดินเข้าไปพูดว่า
“มาสวดสายประคำกับถวายตัวแด่รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้ากันดีกว่าคะ”
ท่านอยู่กับคุณป้ากระทั้งเมื่อทราบว่ามีแผนการลักพาตัวเด็กตระกูลกอนซาเลซ บาเลรีโอ ส่งไปเลี้ยงในลัทธิมากซ์ ที่ประเทศรัสเซีย
เพื่อปลูกฝังความเชื่อตามแบบอย่างคอมมิวนิสต์ ดังนั้นที่สุดทั้งครอบครัวจึงกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งที่กงสุลเบลเยียมแม้จะมีพื้นที่ไม่มากนัก
ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1937 หลังจากนั้นในวันที่ 31 มีนาคม ปีเดียวกันครอบครัวท่านก็ได้ลี้ภัยไปที่ซาน เซบัสเตียน ของแคว้นบาสก์
สวรรค์คือบ้านของแม่
วันหนึ่งที่ซาน เซบัสเตียน
หลังจากกลับมาในช่วงวันหยุดของโรงเรียนกินนอนของคณะไอริชแห่งพระแม่มารีย์ ที่
ซัลลา ที่ท่านถูกส่งไปในเดือนตุลาคม ค.ศ.1938 หลังจากหนึ่งปีที่โรงเรียนพระหฤทัย ท่านก็พบมารดากำลังทำหน้ากังวลใจเรื่องบ้าน
ท่านจึงเข้าไปคุยกับมารดาท่านว่า “คุณแม่คะ
คุณแม่สนสิ่งที่เป็นของฝ่ายโลกมากเกินไปแล้วนะ สวดมากๆซิคะ” ทันทีมารดาท่านก็ตอบไปว่า “ลูก แม่จำเป็นต้องมีบ้าน” ท่านจึงยืนยันอีกครั้ง “แม่คะ สวรรค์คือบ้านของแม่นะคะ….”
ท่านมีบันทึกกิจการที่ท่านเขียนถึงสามครั้งว่าส่วนตัว
เป็นเหมือนบันทึกวิญญาณของท่าน
ท่านมักถามหากระเป๋านักเรียนที่มีบันทึกเล่มนี้ที่ท่านเข้าใจได้คนเดียวเสมอๆ อาทิ “พวกเขาฆ่าคุณพ่อผู้น่าสงสารของหนู” , “สเปน จงเจริญ พระคริสตราชา จงเจริญ” ในหน้าสุดท้ายเช่นเดียวกับบรรดามรณสักขีทั้งหลายในระหว่างสงครามกลางเมืองสเปน
,“เพื่อคุณพ่อ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1939
ส่วนตัว” และวลีที่สำคัญที่สุดคือ “หนูได้ถวายตัวเองทั้งครบแด่พระเจ้าในเขตของนายชุมพาบาลที่แสนดี
6 เมษายน ค.ศ.1939” ซึ่งไม่มีใครเข้าใจได้เลยกระทั้งท่านจากไป
ว่าหมายความว่าอย่างไร
“หนูได้ถวายตัวเองทั้งครบแด่พระเจ้า” แน่นอนไม่นานพระเยซูเจ้าก็ทรงตอบรับของถวายชิ้นนี้ เพราะหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ.1939 ท่านก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้อีดำอีแดง
จนนำไปสู่การติดเชื้อที่หูก่อนกลายเป็นอาการโลหิตเป็นพิษ ซึ่งจากบันทึกของเพื่อนท่านทำให้เราทราบว่านับจากวันที่ท่านเข้ารับการรักษา
ท่านเริ่มพูดถึงความตายของท่านอยู่ทุกวัน ท่านรู้ดีว่าท่านจะไม่มีวันหายแน่นอน
ดังนั้นท่านจึงกล้ากล่าวกับมารดาท่านที่แนะนำให้ท่านวอนขอพระกุมารให้ทรงรักษาท่านว่า
“ไม่คะ คุณแม่ หนูจะไม่ขอเช่นนั้นคะ
หนูอยากให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์คะ”
แม้จะต้องนอนซมอยู่แต่บนเตียงท่านก็ไม่ได้ละทิ้งรายละเอียดน้อยที่สุดเช่นครั้งหนึ่งซิสเตอร์คนหนึ่งเห็นว่าแดดคงรบกวนท่านจึงเดินมาปิดม่านให้ท่าน
ท่านจึงกล่าวขอบคุณ
แต่ซิสเตอร์อีกคนเห็นท่านควรได้รับแสงแดดซักหน่อยจึงเดินมาเปิดม่านให้ท่านให้ท่านในเวลาไม่ช้า
ท่านก็มิได้โกธรหรือปล่อยมันไปตรงข้ามท่านกลับปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งแรกคือกล่าวขอบคุณซิสเตอร์ ท่านพักอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม จึงมีการย้ายท่านไปยังกรุงมาดริด ที่นั่นท่านต้องฉีดยาหลายต่อหลายครั้ง
ซึ่งทุกครั้งท่านก็จะสวดภาวนาด้วยบทข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าเชื่อ
นับจากนั้นท่านก็ต้องทนทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆอย่างหนักหน่วงเพื่อคนที่ท่านไม่รู้จัก
ท่านกลายเป็นป่วยด้วยโรคท้องร่วง ไม่พอบาดแผลที่ขาท่านยังเกิดเน่า
บางครั้งท่านถึงกลับนอนไม่หลับเพราะเจ็บปวดมีเพียงพระนามของพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่คอยเป็นยาบรรเทาให้ท่านเสมอ
ท่านเคยกล่าวกับคุณยายตอนเด็กๆว่า “คุณยายรู้ไหมคะว่ามันคืออะไร การจะเป็นนักบุญน่ะเราต้องสละตัวเองนะคะ” เมื่อคุณยายถามท่านกับพี่ว่าอยากจะเป็นนักบุญไหม
นับวันเวลาแห่งสวรรค์ยิ่งใกล้ท่านเข้ามาเรื่อยและท่านก็รู้ดีท่านจึงบอกเสมอว่าท่านจะจากไปในวันฉลองแม่พระแห่งภูเขาคาร์แมลองค์อุปถัมภ์ของท่าน
แต่เมื่อทราบว่าคุณป้าโซเฟียของท่านกำลังจะแต่งงานท่านก็ประกาศในวันนั้นว่าท่านจะจากไปในวันถัดไป ดังนั้นในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1939
อาการท่านก็ยิ่งทรุดจนท่านไม่อาจลุกไปไหนจากเตียงได้ ท่านประกาศย้ำอีกครั้งว่า “วันนี้ หนูจะตายและหนูจะไปสวรรค์คะ” กระทั้งเวลาประมาณช่วงบ่าย
หลังจากหยุดสวดไปท่านก็เริ่มสวดภาวนาอีกครั้ง
ทันทีท่านก็เริ่มได้ยินเสียงเพลงของบรรดาทูตสวรรค์ดังขึ้น “หนูจะตายเช่นมรณสักขี คุณหมอคะได้โปรดเถอะคะ
ให้หนูได้ไปตอนนี้เถอะคะ หมอไม่เห็นหรอคะว่าแม่พระทรงมาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์เพื่อรับหนูแล้ว”
ทำให้ทุกคนที่รายล้อมเตียงท่านเพื่อดูใจท่านต่างพากันประหลาดใจกันเป็นแถว “เยซู มารีย์ ยอแซฟ โปรดช่วยหนูจากความเจ็บปวดที่ผ่านมา
โปรดให้หนูได้จากไปพร้อมกับท่านด้วย” ท่านกล่าวก่อนล้มตัวนอนบนหมอนและหายใจครั้งสุดท้ายโดยปราศจากความทุกข์ทรมาน
ด้วยวัยเพียงเก้าปี
ท่านจากไป
ทันทีร่างน้อยๆของท่านกลายเป็นงดงามขึ้นและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่ไม่ใช่ของดอกไม้
จนแพทย์ครั้งแรกปฏิเสธจะบอกว่าท่านตายแล้ว หลังจากนั้นร่างของท่านก็ถูกฝังในชุดสีขาวสวยที่ใช้ในการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกของท่าน
ท่ามกลางดอกไม้จากงานแต่งของคุณป้าท่านที่ท่านขอไว้ตั้งแต่เมื่อวาน “หนูขอดอกไม้ก็พอแล้วคะ”
“อาซาญา(ประธานาธิบดีที่นำไปสู่การเบียดเบียนคริสตชนในสเปน)จะได้ไปสวรรค์ไหมค่ะ” มารดาท่านก็ตอบว่า “ถ้าลูกหมั่นทำพลีกรรรมและสวดภาวนาให้เขา
ถูกแล้วลูกเขาก็จะได้รับความรอด” ซึ่งด้วยการเสียสละนี้วิญญาณดวงหนึ่งก็ได้รับความรอด อาซาญา
กลับใจในช่วงวาระสุดท้ายของเขากลับมาสู่หนทางกางเขนที่ถูกสร้างขึ้นจากเด็กสาวตัวน้อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย
“คุณพ่อหนูจากไปเช่นมรณสักขี คุณแม่ผู้น่าสงสาร
และหนูกำลังจะจากไปเช่นยัญบูชา”
เรื่องราวของท่านถูกดำเนินเรื่องเพื่อขอสถาปนาเป็นบุญราศี
กระทั้งในวันที่ 16
มกราคม ค.ศ.1996 สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปลอ ที่ 2 ก็ได้ทรงรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของท่านในฐานะ “คารวียะ”
ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสตเจ้า
และการตายเป็นกำไร หากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้าทำงานได้ผลเเล้ว
ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใดดี (ฟป
1:21-22 ) เรามีชีวิตอยู่เพื่อเลียนแบบพระคริสตเจ้าด้วยการรักพระและรักทุกคนๆ
พร้อมแบกกางเขนตามพระองค์ไปสวรรค์ไปรับกำไรในโลกหน้าอันคือชีวิตนิรันดร
เหมือนท่านที่เลียนแบบความรักของพระเยซูเจ้าด้วยการยอมตายเพื่อให้คนที่ฆ่าบิดา
คนที่หลายๆคนเกียจได้กลับใจ ดังนั้นเราต้องมีชีวิตแบบพระคริสตเจ้าเท่าที่เราทำได้
เพื่อกำไรในอาณาจักรสวรรค์ด้วยการกระทำทุกสิ่งด้วย “ความรัก”
“ข้าแต่ท่านคารวียะมารีอา การ์เมน กอนซาเลซ
บาเลรีโอ ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง