นักบุญนูโน อัลวาเรซ
เปเรรา
St. Nuno
Álvares Pereira
ฉลองในวันที่ : 1 เมษายน , 6 พฤศจิกายน
(โปรตุเกส)
ในปี ค.ศ.2009 เป็นปีที่ความยินดีเวียนมาหาชาวคาร์เมไลท์และชาวโปรตุเกสอีกครั้งเมื่อหนึ่งในสมาชิกคาร์เมไลท์ชายผู้หนึ่งชาวโปรตุเกสได้รับเกียรติยกขึ้นไว้ในฐานะนักบุญของพระศาสนจักร
ด้วยนาม “นักบุญนูโน แห่ง พระนางมารีย์” ชายชาติทหารผู้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ โฟลร์ ดา ฮอซา
ทางตอนกลางของประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรนอกสมรสของภารดาอัลวาโร กงซาลเวซ เปเรรา อัศวินพยาบาลแห่งนักบุญยอห์น
แห่ง เยรูซาเล็ม และ รองอธิการที่คราโต กับ ดอนนา อิเรีย กงซาลเวซ ดู การะวาเลียล
ดังนั้นทารกผู้มีวันกำเนิดคือวันที่
24 มิถุนายน ค.ศ.1360 นี้จึงสืบเชื้อสายเก่าแก่ของโปรตุเกสและขุนนางกาลิเซีย
อย่างไรก็เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีกว่าทารกผู้นี้จะกลายเป็นบุตรตามกฎหมาย
ซึ่งทำให้ท่านสามารถได้รับการศึกษาอัศวินแบบเดียวกับบรรดาบุตรหลานของชนชั้นสูงในสมัยนั้นได้
หลังจากนั้นเมื่อเจริญวัยได้ 13 ปี
ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นนายมหาเล็กให้สมเด็จพระราชินีลีโอโนร์
ดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าท่านรับราชการทหาตั้งแต่มีอายุได้
13 ปี ท่านจัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่ใจร้อน
กล้าหาญและมีความเป็นผู้นำที่ดีเยี่ยมดั่งคำกลอนที่ว่า
หนักแน่นมั่นคงดุจดั่งภูผา
เคร่งขรึมดั่งพญาราชสีห์
ยึดถืออุดมการณ์ยิ่งชีวี
สมเป็นชายชาตรีศรีนคร
ต่อมาเมื่อกษัตริย์เฟอร์นันโด
ที่ 1 ทรงเสด็จสวรรคตลงในปี ค.ศ.1383 ด้วยพระองค์มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงเบียตรีซี
ซึ่งอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ฆวน ที่ 1
แห่ง คาสตีล ทำให้โปรตุเกสอาจถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรคาสตีล(กลุ่มชาติพันธุ์ในสเปน) ดังนั้นเพื่อรักษาเอกราชของโปรตุเกส
บรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้อนาคตกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ขึ้นครองราชย์ต่อ จึงเกิดสงครามที่อาโตเลรูสขึ้น
ในเดือนเมษายน ค.ศ.1834 ซึ่งแน่นอนท่านอยู่ฝั่งโปรตุเกส
ดังนั้นท่านในวัยเพียง 24
ปี จึงได้เป็นผู้คุมทหารขับไล่พวกคาสตีล และได้รับชัยชนะ
ส่งให้ในเดือนเมษายน
ปีถัดมากษัตริย์จอห์น ที่ 1
แห่ง โปรตุเกส จึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งโปรตุเกสอย่างเป็นทางการ
แต่แน่นอนว่าฆวน ที่ 1 แห่ง คาสตีล ทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงสนับสนุนให้พระชายาของพระองค์ขึ้นครองราชย์
พระองค์จึงทรงกรีฑาทัพมาอีกครั้ง ดังนั้นในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ.1385 ท่านจึงได้นำบรรดาอาสาสมัครจำนวนหกพันห้าร้อยคน เข้าปะทะกับกองทัพของพวกคาสตีลที่มีราวสามแสนนาย ใน สนามรบที่อัลจูบาร์ฮอตา
ซึ่งจะเป็นจุดชี้ชะตาของทุกเรื่อง ซึ่งแม้จะมีเพียงหยิบมือ
ท่านก็สามารถนำโปรตุเกสไปสู่ชัยชนะ และเป็นการยุติเรื่องนี้ไป
หลังจากนั้นระหว่างปี
ค.ศ.1385 ถึง ค.ศ.1390 ท่านในฐานะจอมพลและเคาท์แห่งโอเร็มก็นำกองทัพไปยังชายแดนของคาสตีลโดยมีจุดหมายเพื่อรักษาสถานการณ์และยับยั้งการโจมตีจากประเทศเพื่อนบ้าน
จนเกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญอีกครั้งคือสงครามที่วัลเวรเด ในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ.1385
เมื่อกองทัพคาสตีลพยายามตีกองทัพท่าน
ทันทีสถานการณ์ดูเหมือนว่าโปรตุเกสจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อขาดท่านนำ
แต่ขณะที่ดวงใจกำลังห่อเหี่ยวนั้นพวกเขาก็พบท่านกำลังสวดภาวนาเหมือนเข้าฌานอยู่ระหว่างหินสองก้อน
พวกเขาจึงเรียกท่านแต่ท่านหันไปทำสัญลักษณ์ให้เงียบๆ
ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกท่านอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรในการสวดภาวนา พวกเขาทั้งหมดจะตาย
สหายเอ๋ย มันยังไม่ถึงเวลา รอซักครู่ สวดให้เสร็จก่อน” ท่านตอบเขาด้วยเสียงเบาๆ และทันที่ท่านสวดเสร็จท่านจึงยืนขึ้น
“ด้วยใบหน้าที่สว่างไสวและออกคำสั่ง” ผลปรากฏว่าครั้งนั้นกองทัพโปรตุเกสโดยการนำของท่านก็ได้รับชัยชนะจริงๆ
ซึ่งถือว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้นับจากนั้นนามของท่านก็เป็นเกรมขามยิ่งนัก
เราอาจบอกได้เลยว่าท่านมีสองรากฐานสำคัญในชีวิตจิตคือศีลมหาสนิทและแม่พระกันเลย
ชัยชนะของท่านมีไว้เพื่อคนเดียวคือแม่พระ
ท่านชนะเพื่อพระนาง บนดาบของท่านมีคำว่า “มารีอา” อันคือชื่อแม่พระจารึกอยู่
เพราะท่านอุทิศตนแด่พระนาง ท่านถวายเกียรติพระนางด้วยการสวดภาวนา
การอดอาหารในวันพุธ วันศุกร์และวันเสาร์ และด้วยการตื่นเฝ้าในวันฉลองของพระนาง ธงที่ท่านเลือกแบบส่วนตัวของท่านคือรูปไม้กางเขน
รูปแม่พระ และรูปของอัศวินนักบุญสององค์คือนักบุญยากอบและนักบุญจอร์จ
นอกจากนั้นท่านยังใช้ทรัพย์ของท่านสร้างวัดและอารามมากมาย
ทั้งอารามคาร์แมลชายที่ลิสบอลและวัดแม่พระมหาชัยที่บาตาลยา ทั้งในระหว่างสงครามเพื่อเอกราชท่านยังได้แจกจ่ายอาหารแก่ผู้หิวโหยด้วยเงินของท่านเองอีกด้วย
ชีวิตสมรสของท่าน
ท่านนั้นสมรสกับเลโอโนร์ เด อัลวิม ม่ายผู้ร่ำรวย เมื่อท่านมีวัย 16 ปี พวกท่านมีบุตรและธิดารวมกันสามคน
แต่บุตรสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เหลือแต่เบียตรีซี จนต่อมาในปี ค.ศ.1387 ภรรยาท่านก็จากไป ท่านจึงตัดสินใจอยู่เป็นโสด หลังจากนั้นในปี
ค.ศ.1401 ลูกสาวคนเดียวของท่านก็ได้เข้าพิธีเสกสมรสกับพระราชโอรสของกษัตริย์จอห์น
ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส
ถัดจากนั้นท่านก็ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย แม้จะถูกชักชวนให้ร่วมคุมทัพในการพิชิตเซวตา ในปี ค.ศ.1415 จากกษัตริย์ก็ตาม
ท่านก็ปฏิเสธเพราะท่านต้องการเลิกเป็นทหารและเข้าไปสู่ชีวิตผู้ถวายมากกว่า
ดังนั้นในปี ค.ศ.1423 ด้วยวัย 63 ปี ท่านจึงได้ละทิ้งทุกอย่างทั้งชื่อเสียง
เงินทอง แล้วเข้าสู่ชีวิตที่ยากไร้และต่ำต้อยในคณะคาร์เมไลท์ในอารามที่ลิสบอนที่ท่านก่อตั้งขึ้น
พร้อมใช้นามใหม่ว่า “ภารดานูโน แห่ง พระนางมารีย์” ความจริงท่านปรารถนาไปอยู่อารามไกลๆ
แต่บุตรเขยท่านป้องกันสิ่งเหล่านั้นไว้
แต่อย่างไรเขาก็ไม่มีอำนาจใดๆที่จะขัดขวางท่านจากการอุทิศตนให้อาราม และเหนือสิ่งอื่นใดความยากไร้
แต่อย่างไรเขาก็ยังคงคอยให้ความช่วยเหลือท่านเท่าที่เป็นไปได้
ท่านยังคอยแจกจ่ายอาหารของท่านเสมอ
และไม่เคยลังเลซักครั้งที่จะรับใช้บรรดาพี่น้อง ณ
ที่ธรณีประตูอารามท่านได้ทิ้งตำแหน่งต่างๆไว้ทั้งหมด
แม้กระทั้งผู้มีพระคุณต่ออารามนี้ ท่านไม่ปรารถนาสิทธิพิเศษใดๆ
แต่ท่านต้องการมีหน้าที่ที่ต่ำต้อย เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า ของแม่พระ
และของผู้ยากไร้ ที่สุดแล้วหลังจากทุกข์ทรมาจากโรคไขข้ออักเสบด้วยอายุ 71 ปี
ในวันสมโภชพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพที่ 1 เมษายน ค.ศ.1431 ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ
ซึ่งในปีสุดท้ายนั้นกษัตริย์จอห์น
ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ได้มีโอกาสพบท่านและกอดเป็นครั้งสุดท้าย
ภาพวันนั้นคือพระองค์ทรงพระกรรณแสงเพราะพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นเสมือนสหายสนิทที่สุดของพระองค์ ผู้ทำให้พระองค์ได้ครองบัลลังก์
ทั้งยังป้องกันเอกราชของประเทศของพระองค์
ชื่อเสียงของท่านเป็นที่กล่าวขานด้านความศักดิ์สิทธิ์อย่างยาวนาน
มีการเปิดกระบวนการของท่านจนที่สุดแล้วในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.1918 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 15
ก็ทรงได้บันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี และหลังจากอัศจรรย์ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ.2009 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ทรงได้สถาปนาท่านเป็นนักบุญ
“อาวุธที่เราใช้ต่อสู้มิอาวุธตามธรรมชาติ แต่เป็นอาวุธที่มีอานุภาพจากพระเจ้า….”(2โครินธ์ 10:4)
ทำไมนักรบเช่นท่านจึงละทิ้งอาวุธฝ่ายโลกและมุ่งสู่อาวุธฝ่ายจิตละ
ก็เพราะอาวุธฝ่ายโลกนั้นช่างไม่ถาวร และนำมาซึ่งความโศกเศร้า ช่างแตกต่างกับอาวุธฝ่ายจิตที่ถาวรตลอดนิรันดร์และนำมาซึ่งความสุขเสมอ
อาวุธนั้นคืออะไร บางทีมันอาจคือความรัก ความรักเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
รักในพระและพี่น้อง ถูกไหมความรักพาแต่สันติมาเสมอ ไม่จริงหรือที่ความรักพระทำให้เราก้าวผ่านการทดลอง
ความรักในพี่น้องทำให้เกิดสันติในจิตใจ จริงไหม
“ข้าแต่ท่านนักบุญนูโน อัลวาเรซ เปเรรา
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง