วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

"ภารดานูโน" นักรบนักบุญ


นักบุญนูโน อัลวาเรซ เปเรรา
St. Nuno Álvares Pereira
ฉลองในวันที่ : 1 เมษายน ,  6 พฤศจิกายน (โปรตุเกส)

ในปี ค..2009 เป็นปีที่ความยินดีเวียนมาหาชาวคาร์เมไลท์และชาวโปรตุเกสอีกครั้งเมื่อหนึ่งในสมาชิกคาร์เมไลท์ชายผู้หนึ่งชาวโปรตุเกสได้รับเกียรติยกขึ้นไว้ในฐานะนักบุญของพระศาสนจักร ด้วยนาม นักบุญนูโน แห่ง พระนางมารีย์ชายชาติทหารผู้มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ โฟลร์ ดา ฮอซา ทางตอนกลางของประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรนอกสมรสของภารดาอัลวาโร กงซาลเวซ เปเรรา อัศวินพยาบาลแห่งนักบุญยอห์น แห่ง เยรูซาเล็ม และ รองอธิการที่คราโต กับ ดอนนา อิเรีย กงซาลเวซ ดู การะวาเลียล

ดังนั้นทารกผู้มีวันกำเนิดคือวันที่ 24 มิถุนายน ค..1360 นี้จึงสืบเชื้อสายเก่าแก่ของโปรตุเกสและขุนนางกาลิเซีย อย่างไรก็เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีกว่าทารกผู้นี้จะกลายเป็นบุตรตามกฎหมาย ซึ่งทำให้ท่านสามารถได้รับการศึกษาอัศวินแบบเดียวกับบรรดาบุตรหลานของชนชั้นสูงในสมัยนั้นได้ หลังจากนั้นเมื่อเจริญวัยได้ 13 ปี ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นนายมหาเล็กให้สมเด็จพระราชินีลีโอโนร์



ดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าท่านรับราชการทหาตั้งแต่มีอายุได้ 13 ปี ท่านจัดได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่ใจร้อน กล้าหาญและมีความเป็นผู้นำที่ดีเยี่ยมดั่งคำกลอนที่ว่า  
                                 หนักแน่นมั่นคงดุจดั่งภูผา   เคร่งขรึมดั่งพญาราชสีห์
                                ยึดถืออุดมการณ์ยิ่งชีวี       สมเป็นชายชาตรีศรีนคร
 ต่อมาเมื่อกษัตริย์เฟอร์นันโด ที่ 1 ทรงเสด็จสวรรคตลงในปี ค..1383 ด้วยพระองค์มีพระธิดาเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าหญิงเบียตรีซี ซึ่งอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ฆวน ที่ 1 แห่ง คาสตีล ทำให้โปรตุเกสอาจถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรคาสตีล(กลุ่มชาติพันธุ์ในสเปน)  ดังนั้นเพื่อรักษาเอกราชของโปรตุเกส บรรดาขุนนางจึงสนับสนุนให้อนาคตกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ขึ้นครองราชย์ต่อ จึงเกิดสงครามที่อาโตเลรูสขึ้น ในเดือนเมษายน ค..1834  ซึ่งแน่นอนท่านอยู่ฝั่งโปรตุเกส ดังนั้นท่านในวัยเพียง 24 ปี จึงได้เป็นผู้คุมทหารขับไล่พวกคาสตีล และได้รับชัยชนะ

ส่งให้ในเดือนเมษายน ปีถัดมากษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส จึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งโปรตุเกสอย่างเป็นทางการ แต่แน่นอนว่าฆวน ที่ 1 แห่ง คาสตีล ทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงสนับสนุนให้พระชายาของพระองค์ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงกรีฑาทัพมาอีกครั้ง ดังนั้นในวันที่  14 สิงหาคม ค..1385 ท่านจึงได้นำบรรดาอาสาสมัครจำนวนหกพันห้าร้อยคน เข้าปะทะกับกองทัพของพวกคาสตีลที่มีราวสามแสนนาย ใน สนามรบที่อัลจูบาร์ฮอตา ซึ่งจะเป็นจุดชี้ชะตาของทุกเรื่อง ซึ่งแม้จะมีเพียงหยิบมือ ท่านก็สามารถนำโปรตุเกสไปสู่ชัยชนะ และเป็นการยุติเรื่องนี้ไป



หลังจากนั้นระหว่างปี ค..1385 ถึง ค..1390 ท่านในฐานะจอมพลและเคาท์แห่งโอเร็มก็นำกองทัพไปยังชายแดนของคาสตีลโดยมีจุดหมายเพื่อรักษาสถานการณ์และยับยั้งการโจมตีจากประเทศเพื่อนบ้าน จนเกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญอีกครั้งคือสงครามที่วัลเวรเด ในวันที่ 14 ตุลาคม ..1385 เมื่อกองทัพคาสตีลพยายามตีกองทัพท่าน ทันทีสถานการณ์ดูเหมือนว่าโปรตุเกสจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อขาดท่านนำ  แต่ขณะที่ดวงใจกำลังห่อเหี่ยวนั้นพวกเขาก็พบท่านกำลังสวดภาวนาเหมือนเข้าฌานอยู่ระหว่างหินสองก้อน พวกเขาจึงเรียกท่านแต่ท่านหันไปทำสัญลักษณ์ให้เงียบๆ

ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกท่านอีกครั้ง ไม่มีอะไรในการสวดภาวนา พวกเขาทั้งหมดจะตาย สหายเอ๋ย มันยังไม่ถึงเวลา รอซักครู่ สวดให้เสร็จก่อน ท่านตอบเขาด้วยเสียงเบาๆ และทันที่ท่านสวดเสร็จท่านจึงยืนขึ้น ด้วยใบหน้าที่สว่างไสวและออกคำสั่งผลปรากฏว่าครั้งนั้นกองทัพโปรตุเกสโดยการนำของท่านก็ได้รับชัยชนะจริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้นับจากนั้นนามของท่านก็เป็นเกรมขามยิ่งนัก



เราอาจบอกได้เลยว่าท่านมีสองรากฐานสำคัญในชีวิตจิตคือศีลมหาสนิทและแม่พระกันเลย ชัยชนะของท่านมีไว้เพื่อคนเดียวคือแม่พระ ท่านชนะเพื่อพระนาง บนดาบของท่านมีคำว่า มารีอาอันคือชื่อแม่พระจารึกอยู่ เพราะท่านอุทิศตนแด่พระนาง ท่านถวายเกียรติพระนางด้วยการสวดภาวนา การอดอาหารในวันพุธ วันศุกร์และวันเสาร์ และด้วยการตื่นเฝ้าในวันฉลองของพระนาง ธงที่ท่านเลือกแบบส่วนตัวของท่านคือรูปไม้กางเขน รูปแม่พระ และรูปของอัศวินนักบุญสององค์คือนักบุญยากอบและนักบุญจอร์จ นอกจากนั้นท่านยังใช้ทรัพย์ของท่านสร้างวัดและอารามมากมาย ทั้งอารามคาร์แมลชายที่ลิสบอลและวัดแม่พระมหาชัยที่บาตาลยา ทั้งในระหว่างสงครามเพื่อเอกราชท่านยังได้แจกจ่ายอาหารแก่ผู้หิวโหยด้วยเงินของท่านเองอีกด้วย

ชีวิตสมรสของท่าน ท่านนั้นสมรสกับเลโอโนร์ เด อัลวิม ม่ายผู้ร่ำรวย เมื่อท่านมีวัย 16 ปี พวกท่านมีบุตรและธิดารวมกันสามคน แต่บุตรสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เหลือแต่เบียตรีซี จนต่อมาในปี ค..1387 ภรรยาท่านก็จากไป ท่านจึงตัดสินใจอยู่เป็นโสด หลังจากนั้นในปี ค..1401 ลูกสาวคนเดียวของท่านก็ได้เข้าพิธีเสกสมรสกับพระราชโอรสของกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ถัดจากนั้นท่านก็ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย แม้จะถูกชักชวนให้ร่วมคุมทัพในการพิชิตเซวตา ในปี ค..1415 จากกษัตริย์ก็ตาม ท่านก็ปฏิเสธเพราะท่านต้องการเลิกเป็นทหารและเข้าไปสู่ชีวิตผู้ถวายมากกว่า



ดังนั้นในปี ค..1423 ด้วยวัย 63 ปี ท่านจึงได้ละทิ้งทุกอย่างทั้งชื่อเสียง เงินทอง แล้วเข้าสู่ชีวิตที่ยากไร้และต่ำต้อยในคณะคาร์เมไลท์ในอารามที่ลิสบอนที่ท่านก่อตั้งขึ้น พร้อมใช้นามใหม่ว่า ภารดานูโน แห่ง พระนางมารีย์ ความจริงท่านปรารถนาไปอยู่อารามไกลๆ แต่บุตรเขยท่านป้องกันสิ่งเหล่านั้นไว้ แต่อย่างไรเขาก็ไม่มีอำนาจใดๆที่จะขัดขวางท่านจากการอุทิศตนให้อาราม และเหนือสิ่งอื่นใดความยากไร้ แต่อย่างไรเขาก็ยังคงคอยให้ความช่วยเหลือท่านเท่าที่เป็นไปได้

ท่านยังคอยแจกจ่ายอาหารของท่านเสมอ และไม่เคยลังเลซักครั้งที่จะรับใช้บรรดาพี่น้อง ณ ที่ธรณีประตูอารามท่านได้ทิ้งตำแหน่งต่างๆไว้ทั้งหมด แม้กระทั้งผู้มีพระคุณต่ออารามนี้ ท่านไม่ปรารถนาสิทธิพิเศษใดๆ แต่ท่านต้องการมีหน้าที่ที่ต่ำต้อย เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า ของแม่พระ และของผู้ยากไร้ ที่สุดแล้วหลังจากทุกข์ทรมาจากโรคไขข้ออักเสบด้วยอายุ 71 ปี ในวันสมโภชพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพที่ 1 เมษายน ค..1431 ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่างสงบ



ซึ่งในปีสุดท้ายนั้นกษัตริย์จอห์น ที่ 1 แห่ง โปรตุเกส ได้มีโอกาสพบท่านและกอดเป็นครั้งสุดท้าย ภาพวันนั้นคือพระองค์ทรงพระกรรณแสงเพราะพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นเสมือนสหายสนิทที่สุดของพระองค์  ผู้ทำให้พระองค์ได้ครองบัลลังก์ ทั้งยังป้องกันเอกราชของประเทศของพระองค์ ชื่อเสียงของท่านเป็นที่กล่าวขานด้านความศักดิ์สิทธิ์อย่างยาวนาน มีการเปิดกระบวนการของท่านจนที่สุดแล้วในวันที่ 23 มกราคม ค..1918 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 15 ก็ทรงได้บันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศี และหลังจากอัศจรรย์ในวันที่ 26 เมษายน ค..2009 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ก็ทรงได้สถาปนาท่านเป็นนักบุญ

อาวุธที่เราใช้ต่อสู้มิอาวุธตามธรรมชาติ แต่เป็นอาวุธที่มีอานุภาพจากพระเจ้า….”(2โครินธ์ 10:4) ทำไมนักรบเช่นท่านจึงละทิ้งอาวุธฝ่ายโลกและมุ่งสู่อาวุธฝ่ายจิตละ ก็เพราะอาวุธฝ่ายโลกนั้นช่างไม่ถาวร และนำมาซึ่งความโศกเศร้า ช่างแตกต่างกับอาวุธฝ่ายจิตที่ถาวรตลอดนิรันดร์และนำมาซึ่งความสุขเสมอ อาวุธนั้นคืออะไร บางทีมันอาจคือความรัก ความรักเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รักในพระและพี่น้อง ถูกไหมความรักพาแต่สันติมาเสมอ ไม่จริงหรือที่ความรักพระทำให้เราก้าวผ่านการทดลอง ความรักในพี่น้องทำให้เกิดสันติในจิตใจ จริงไหม


ข้าแต่ท่านนักบุญนูโน อัลวาเรซ เปเรรา ช่วยวิงวอนเทอญ

ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...