นักบุญเปาลา เอลีซาเบตตา เชรีออลี
St. Paola Elisabetta Cerioli
ฉลองในวันที่ : 24 ธันวาคม
เด็กหญิงโกสตันซา
เชรีออลี เกิดมาพร้อมสุขภาพที่เปราะบางติดมาด้วยจากโรคหัวใจ ที่ซอนชีโน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ.1816 ท่านเป็นลูกคนสุดท้องจากสิบหกคนในตระกูลขุนนางของนายฟรังเชสโก
เชรีออลี กับ นางฟรังเชสกา โกรนีอานี ท่านถูกเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านกระทั้งมีวัยได้ 11 ปี ครอบครัวก็ตัดสินใจส่งท่านไปเรียนที่แบร์กาโม
ให้ท่านไปอยู่ท่ามกลางความเงียบเหงาร้างไร้จากครอบครัวเป็นเวลายาวนานถึงห้าปี
แต่อย่างไรตอนนั้นเมล็ดพันธุ์เล็กๆก็ได้งอกเงยขึ้นเป็นต้นกล้าแห่งความวางใจในพระเจ้า
ท่านพบการปลอบประโลมใจในตัวพระองค์เพียงผู้เดียว
ต่อมาเมื่อท่านในวัย
19 ปี ได้กลับบ้านแล้ว ท่านก็ถูกคลุมถุงชนกับชายวัย
59 ปีอย่างไกตาโน บูเซชกิ ซึ่งท่านก็ยอมรับข้อเสนอนี้เพราะท่านเห็นว่ามันคือน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า
ดังนั้นพิธีสมรสของท่านจึงถูกจัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน
ค.ศ.1835 ชีวิตคู่ของท่านกินเวลาถึง 19 ปี
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากจากทั้งจากสามีของท่านและตัวท่านเอง
บุตรสามจากสี่คนของท่านกับเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เหลือเพียง “การ์โล”
สิ่งปลอบประโลมใจของท่านคนเดียวเท่านั้น
กระทั้งในเดือนมกราคม ค.ศ.1854 ในวัย 16 ปี
บุตรชายที่รักของท่านก็ได้ล้มป่วยและจากไปพร้อมคำพูดเชิงทำนายว่า “คุณแม่ครับ ไม่ต้องร้องไห้ครับ …..
พระเป็นเจ้าจะให้เด็กคนอื่นๆแก่คุณแม่เองครับ” หลังจากนั้นในตอนท้ายปีในวันที่ 25 ธันวาคม ไกตาโน
สามีของท่านก็ได้ถึงแก่กรรมลงเช่นเดียวกัน
สำหรับท่านในตอนนี้มันยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มันเป็นคืนมืดของท่าน
แต่ขณะเดียวกันในวิญญาณคำพูดของการ์โลก็กลายเป็นดั่งแสงนำทางท่าน
ให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
ใช่ท่านต้องเป็น
“แม่”
และให้ตนเองให้ผู้อื่นเหมือนที่ท่านทำต่อการ์โล ดังนั้นด้วยวัย 38 ปี
ท่านจึงตัดสินใจที่จะก้าวไปตามทางแห่งกิจการเมตตา
ท่านเริ่มที่จะไปเยี่ยมและช่วยเหลือผู้ป่วย
แบ่งปันข้าวของแก่คนยากจนหรือเด็กกำพร้า ผู้ที่สร้างแรงบัลดาลใจให้ท่านตัดสินเปิดบ้านของท่านสำหรับเด็กกำพร้าขึ้น
พร้อมมอบทรัพย์สินทั้งหมดของท่านแก่คนยากจน
จนท่านถูกบรรดาญาติๆและเพื่อนบ้านต่างพากันว่าท่านเสียใจจนเป็นบ้าไปแล้ว
พวกเขาต่างพากันว่าท่านไม่รู้ว่าท่านทำอะไรลงไป
แต่ตรงข้ามท่านรู้ดีว่าท่านทำอะไรทำหน้าที่ “แม่” ยังไงละ
เงินจากการขายเครื่องเพชรของท่านถูกแปลงไปเป็นวัสดุสำหรับสร้างบ้านสำหรับเด็กกำพร้าขึ้น
เช่นเดียวกันกับการให้ทุกสิ่งแด่คนยากจน
ท่านก็ได้มอบตนเองทั้งหมดแด่พระเจ้าด้วยการถือปฏิญาณตนจะถือศีลบนการเป็นพรหมจรรย์
ในวันที่ 25 ธันวาคม
ค.ศ.1856
ตามมาด้วยการถือปฏิญาณตนถือความยาจนและความนบนอบหลังจากได้รับการเห็นชอบจากคุณพ่อวิญญาณในวันที่
8 กุมภาพันธ์
ค.ศ.1857
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีสตรีมากมายที่เริ่มเข้ามาร่วมงานกับท่าน
และผ่านการสวดภาวนาพระเป็นเจ้าก็ทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์แก่ท่านให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้น “คณะภคินีแห่งครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งโกมอนเต” จึงถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1857 คณะที่จะดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมตน
เรียบง่าย ยากจนและรักการทำงานที่อย่างพบในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งนาร์ซาเร็ธ
สมาชิกทุกคนต้องมุ่งมั่นที่จะเลียนแบบชีวิตทั้งภายในและภายนอกของพระเยซูเจ้า
แม่พระและนักบุญยอแซฟผู้อาศัยอยู่ในบ้านแห่งพระหรรษทาน
และมีพันธกิจคือการดูแลบรรดาเด็กกำพร้าและให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองมือใหม่
นับจากวันนั้นมาคุณแม่เปาลา
เอลีซาเบตตา ซึ่งคือนามใหม่ของท่าน ก็ทุ่มตัวของท่านเพื่อวางรากฐานและพัฒนาคณะของท่าน
กระทั้งเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1863 ที่ วิลลากัมปักนา คณะนักบวชชาย “คณะภารดาแห่งครอบครัวศักดิ์สิทธิ์” จึงถูกท่านก่อตั้งขึ้น
เพื่อดูแลผู้ติดยาให้มีงานทำและแพร่ธรรมในหมู่เกษตรกร
และเนื่องจากพันธกิจของท่านมีสองแขนงท่านจึงได้ถวายทั้งหมดไว้ภายใต้การอารักษ์ของนักบุญยอแซฟ
ดังนั้นบรรดาเด็กกำพร้าภายใต้การดูแลขอคณะจึงได้รับนามว่า “บุตรและธิดาของนักบุญยอแซฟ”
หากเรามองดีๆเราจะพบว่ามีจิตวิญญาณของแม่ที่ไร้ขีดจำกัดจริงๆ
ท่านเอาใจใส่การศึกษาของเด็กกำพร้า การแก้ปัญหาความยากจน
ท่านเข้าใจความสำคัญของครอบครัวและความเหมาะสมซึ่งสรรค์สร้างบรรดาบุตรและธิดา
ซึ่งจะสามารถรักและมอบความรู้แก่บรรดาเด็กๆของพระเจ้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา
“เด็กๆที่ถูกทอดทิ้งและสุญเสีย”
แต่แล้วอยู่ๆในวันที่
24 ธันวาคม ค.ศ.1865 ท่านก็ได้ถึงแก่มรณกรรมอย่างกะทันหันในบ้านที่โกมอนเต
ในวัย 49 ปี
หลังจากนั้นอีก 115 ปี หลังจากการจากไปของท่าน
สมเด็จพระสันตะปาปาปอุส ที่ 12 ก็ได้ทรงบันทึกนามท่านไว้ในสารบบบุญราศีในวันที่
19 มีนาคม
ค.ศ.1950
และเมื่อถึงรัชสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2
พระองค์ก็ได้ทรงแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นนักบุญอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ.2004
“พระเจ้าจะนำเจ้าอยู่เป็นนิตย์และให้เจ้าอิ่มด้วยของดี
และกระทำให้กระดูกของเจ้าแข็ง และเจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เหมือนน้ำพุ
ที่น้ำของมันไม่ขาด”(อิสยาห์ 58:11)
ทำไมหญิงม่ายคนหนึ่งจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างในชีวิตเพื่อทำหน้าที่
“แม่” ให้บรรดาเด็กกำพร้า โดยที่ไม่เกรงกลัวอะไรที่จะต้องพบ
เพราะอะไร เพราะท่านรู้ว่านี่คือน้ำพระทัยของพระ ซึ่งแน่นอนหากมันคือน้ำพระทัยของพระแล้วย่อมไม่มีอะไรที่จะขัดขวางมันได้
นอกจากใจเราที่เลือกจะทิ้งไปเพราะเห็นว่ามันยาก มันหิน
บางครั้งเราหลงลืมไปว่าพระดูแลเราตลอดทางน้ำพระทัยพระองค์ ด้วยเพราะความทุกข์
ความเหนื่อยยาก ความท้อแท้ แต่ไม่จริงเลยพระอยู่กับเราเสมอตลอดทางกางเขนนี้
ทางแห่งน้ำพระทัย ขอแค่เราวางใจที่จะก้าวไปตามหนทางแห่งน้ำพระทัยพระ
เราก็จะพบว่าพระอยู่ข้างๆเรานี้แหละ ตลอดทางเส้นนี้จนถึงสวรรค์
“ข้าแต่ท่านนักบุญเปาลา เอลีซาเบตตา เชรีออลี
ช่วยวิงวอนเทอญ”
ข้อมูลอ้างอิง