วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"ชาร์ล เดอ ฟูโกล" ฤาษีแห่งทะเลทราย


บุญราศีชาร์ล เดอ ฟูโกล
Bl. Charles de Foucauld
ฉลองในวันที่ : 1 ธันวาคม

ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุของแอลจีเรีย ของเมืองเอล โกเรีย  จังหวัดกราดายา  เป็นที่ตั้งของหลุมศพหลุมหนึ่ง ป้ายหลุมทำให้เรารู้ว่ามันคือหลุมของ บุญราศีชาร์ล เดอ ฟูโกลนักพรตชาวฝรั่งเศสผู้หลักหนีจากทางโลกมาอยู่ท่ามกลางทะเลทรายของแอลจีเรีย บางทีคุณอาจจะสงสัยว่าเขาคือใครกัน มาทำอะไรที่นี่ ปฐมบทหน้าต่อไปแห่งพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า



ชาร์ล เออแฌน เป็นลูกคนที่สองของนายเอดัวร์ เดอ ฟูโกล กับนางเอลิซาเบธ เดอ โมเลต  เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน ค..1858 ในบ้านของครอบครัวที่เมืองสทราซบูร์ แคว้นอาลซัส ประเทศฝรั่งเศส และได้รับศีลล้างบาป ณ วัดแซงต์ ปีแอร์ เลอ เฌอเน ในวันที่  4 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน หลังจากนั้นเมื่อท่านอายุได้ไม่กี่เดือนบิดาท่านก็ย้ายไปเมืองวีแซงบูร์ ที่นั่นเมื่อท่านอายุได้ 3 ปี มารดาก็ได้ให้กำเนิดมารี อินีส มารดาของท่านเป็นคนใจศรัทธาแต่อนิจจาจากผลการคลอดก่อนกำหนดทำให้ในวันที่ 13 มีนาคม ค..1864 มารดาของท่านก็ได้จากไป ตามมาด้วยบิดาของท่านที่เสียชีวิตจากโรคประสาทอ่อนในวันที่ 9 สิงหาคมปีเดียวกัน

ทำให้ท่านวัย 6 ปีกลายมาเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นท่านและน้องสาวจึงไปอยู่ภายใต้การดูแลของคุณตาคุณยายของท่านที่สทราซบูร์ ต่อมาจากภัยสงครามฝรั่งเศสและปรัสเซียค ในปี ค..1870 ครอบครัวท่านก็ย้ายไปเมืองเบิร์น และเมื่อฝรั่งเศสแพ้สงครามในปี ค..1871 ครอบครัวท่านก็ย้ายไปน็องซี ที่นั้นเมื่อท่านอายุได้ประมาณ 13 ปี ในวันที่ 28 เมษายน ค..1872  ท่านก็ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกและศีลกำลัง



การสูญเสียความเชื่อของท่าน เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ค..1873 ในชั้นวิชาวาทศาสตร์ ท่านเริ่มออกห่างจากพระเจ้าทีละนิดทีละนิดจนที่สุดแล้วท่านก็กลายเป็นไม่เชื่อพระเจ้า หลังจากจบการศึกษาด้วยคะแนนที่ดีเยี่ยมในวันที่ 12 สิงหาคม ค..1874  ท่านก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่โรงเตรียมอุดมแซงต์ เจเนเวีย เมืองแวร์ซาย เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนทหารพิเศษแซงต์ ซีร์ และจบในเดือนสิหาคม ปี ค..1875

หลังจากนั้นชีวิตของท่านก็เหลวแหล่ ท่านไม่ปฏิบัติกิจศาสนา เกียจคร้านและขาดวินัย ท่านกลับมาน็องซี ในเดือนมีนาคม ค..1876  และเริ่มเรียนพิเศษ ก่อนในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน ท่านจึงกลับไปศึกษาต่อในโรงเรียนทหารพิเศษแซงต์ ซีร์ เป็นนักเรียนี่อายุน้อยที่สุด ที่นั่นท่านทุกข์จากเรื่องการจากไปของคุณปู่และเรื่องต่างๆซึ่งท่านจะระบายกับเพื่อนสนิทของท่าน หลังจากนั้นท่านก็ถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนฝึกทหารม้าโซมูร์เป็นระยะเวลาสองปี



ที่โซมูร์ ท่านใช้ชีวิตอย่างเสเพลไปกับการใช้เงินมรดก 353,500 ฟรังก์ ไปกลับการเที่ยวกลางคืนกลับเพื่อนร่วมห้อง ควงโสเภณีเป็นต้น มันจึงทำให้หลายต่อหลายครั้งท่านถูกลงโทษเพราะฝ่าฝืนออกนอกโรงเรียนโดยมิได้รับอนุญาต มาสาย พฤติกรรมเช่นนี้ท้าให้ในการสอบท่านกลายเป็นที่โหล่ ถัดจากนั้นท่านก็ถูกส่งไปประจำการที่ซีซานเน จังหวัดมาร์น ในเดือนตุลาคม ค..1879   แต่ท่านไม่ชอบ ท่านจึงขอย้าย และในปี ค.. 1880 ท่านก็ได้รับตำแหน่งเป็นทหารม้า ใน ปองต์ แต มูซซอง

ที่ปองต์ แต มูซซอง ท่านใช้ชีวิตอย่าเหวแหล่ที่สุดของที่สุด ท่านใช้เงินไปกับความสุนกสนาน ซื้อหนังสือ ซิการ์และเที่ยวกลางคืน ปนเปกับนางบำเรอนามมารี คาร์ดินัล ต่อจากนั้นท่านก็ถูกส่งไปที่เซทิพ แอลจีเรีย พร้อมทหาร ท่านก็ได้ฝืนกฎทหารโดยเอาภรรยาของเขาไปจนต้องติดคุกอยู่สามสิบวัน แต่พอออกมาแล้วท่านก็ติดคุกอีกเพราะความประพฤติของท่านที่นำสู่เรื่องฉาวโฉด



หลังจากนั้นท่านก็ได้ลาออกที่เอเวียงและอยู่กับมารี คาร์ดินัล แต่เมื่อท่านราบว่ามีการต่อสู้ที่ตูนิเซีย ด้วยความรักชาติท่านก็ขอกลับไปประจำการและก็ได้ไปประจำการ  โดยทิ้งมารีไว้ข้างหลัง  ณ ในสนามรบนี้ท่านสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อนของเขาเป็นระยะเวลาราวหกเดือน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของท่าน ท่านไม่เพียงแสดงออกถึงพฤติกรรมทหารที่ดี แต่ท่านยังแสดงออกถึงการเป็นผู้นำที่ดีอีกด้วย

เมื่อสงครามเสร็จสิ้น ท่านก็ได้ลาออกจากกองทัพในวันที่ 28 มกราคม ค..1882 แล้วเดินทางไปกรุงแอลจีเรียเพื่อเตรียมตัวสำหรับความฝันใหม่ ที่นั่นท่านได้พบกับออสกา แม็คการ์ที นักภูมิศาสตร์และภัณฑารักษ์ของห้องสมุดแอลจีเรียและได้บอกถึงแผนการไปโมร็อกโกของท่านให้เขาทราบ ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปีหลังจากเรียนภาษาอาหรับ อิสลามและภาษาฮีบรูจบแล้วแม็คการ์ทีก็ได้แนะนำให้ท่านรู้จักกับรับบี มาร์โดซเชีย อาบี เซร์อูร์ ผู้ที่รับข้อเสนอจะเป็นคนนำทางท่านที่ปลอมเป็นชาวยิวเอง เพราะในสมัยนั้นประเทศโมร็อกโกเป็นที่ต้องห้ามของชาวยุโรป (มันจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ท่านอยากไปสัมผัสดินแดนลึกลับแห่งนี้)

พร้อมของที่จำเป็นอาทิเอกสารปลอม ก้าวย่างแรกของท่านเริ่มขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน ค..1883 ด้วยนามปลอมว่า โยเซฟ อาลีมาน ชาวยิวผู้เกิดในประเทศมอลโดวา ผู้น่าสงสารเพราะถูกผลักดันออกนอกประเทศโดยชาวรัสเซีย และกำลังมองหาหนทางไปเยี่ยมชุมชนชาวยิวในโมร็อกโก พวกท่านท่านเวลาสามวันจึงข้ามตเลมเซนเมืองชายแดนของแอลจีเรียสู่ประเทศโมร็อกโก ที่นั่นท่านได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากครอบครัวชาวยิว



หลังจากนั้นท่านก็เริ่มสำรวจประเทศโมร็อกโกโดยเริ่มจากทางตะวันออก ท่านไปถึงเมกเนสในวันที่ 23 สิงหาคม หลังจากนั้นท่านก็เดินทางลงใต้และถึงเขตที่ภูเขาสูงแอตลาส ทำให้ท่านกลายเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้สำรวจโมร็อกโก สถานที่ท่านได้สัมผัสทัศนียภาพที่สวยงาม ความศรัทธาของชาวมุสลิม ที่ทำให้ท่านเริ่มถาตัวเองว่า พระเจ้าของฉัน ถ้าพระองค์มีอยู่จริง โปรดให้ฉันรับรู้ถึงพระองค์

บนหลงสัตว์ท่านสำรวจไปจนถึงทิสแซงต์  พวกท่านก็ต้องกลับเพราะอันตรายและงบหมด เมื่อมาถึงท่านก็ได้ขอเงินจากครอบครัวที่พำนักอยู่ พร้อมทำงานเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางอีกหลายสัปดาห์ ก่อนจะออกเดินทางกลับพร้อมพวกที่ร่วมขึ้นแอตลาสกับอาหรับอีกสามพระหน่อ ที่แทนจะคุ้มครองพวกท่านกับทิ้งพวกท่าน พร้อมขโมยของและหนังสือของท่านไป ท่านกลับถึงแอลจีเรียโดยสวัสดิภาพหลังจาก 11 เดือนของการเดินทาง ข้อมูลและรูปภาพที่ท่านบันทึกในสมุดที่ท่านซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อไม่ใช่ผู้ร่วมเดินทางของท่านเห็น ซึ่งท่านบันทึกมันในหนังสือทุกๆเย็นแต่มันถูกขโมยไป แต่มันยังเหลือบันทึกของท่านที่ให้ข้อมูลจำนวนมากมายรวมทั้งข้อมูลทางภูมิศาสตร์และชาติพันธุ์ ทางสมาคมภูมิศาสตร์แห่งปารีสได้มอบเหรียญทองแด่ท่านในวันที่ 9 มกราคม ค..1885  และนอกจากนั้นท่านยังได้รับเกียรติทางวิชาการในวิทยาลัยซอร์บอนน์ ของมหาวิทยาลัยปารีส จากงานเขียนของท่าน

ในแอลจีเรียท่านได้พบรักกับมารี มาเกอริต บุตรตรีผู้บัญชาการทหาร ท่านจึงวางแผนที่จะแต่งงานกับเธอ แต่ครอบครัวท่านไม่เห็นด้วย ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจที่จะเป็นโสดไปตลอดชีวิต  จากนั้นในวันที่ 14 กันยายน ค..1885  ท่านก็ได้เดินทางไปทะเลทรายซาฮารา พร้อมวาดภาพจำนวนมากมายในตลอดการเดินทาง ท่านสิ้นสุดการเดินทางในทวีปแอฟริกาครั้งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค..1886  เมื่อท่านเดินทางถึงประเทศฝรั่งเศสบ้านเกิด



หลังจากนั้นในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ท่านก็ได้ไปเช่าห้องพักอยู่ที่ปารีส ใกล้ๆบ้านของมารี เดอ บองดี เพื่อนในวัยเด็กซึงเป็นลูกคุณป้าของท่าน ในตอนนี้ทัศนคติของท่านเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ท่านเริ่มอ่านอัลกรุอานและหนังสือการยกระดับฌาน ที่มารีแนะนำ หลังจากนั้นในตลอดปี ค..1887 ท่านก็ได้ใช้เวลาไปกับตรวจทานแก้ไขบันทึกของท่าน ซึ่งมันได้ตีพิมพ์ในปี ค..1888 ด้วยชื่อ สิ่งที่เห็นในโมร็อกโก

ที่สุดพระเจ้าก็ได้ทรงเปลี่ยนจิตใจที่ด้านฉาต่อพระองค์มานานแสนนาน ผ่านหลายๆอย่างทั้งจากมารี ท่านก็เริ่มเข้าร่วมกับเขตวัดนักบุญออกัสติน และตัดสินใจเข้ารับศีลอภัยบาปผ่านทาพระสงฆ์ในวันที่ 30 ตุลาคม ค..1886  กับคุณพ่ออองรี อูเวอแลง ซึ่งภายหลังการเป็นคุณพ่อวิญญาณณารักษ์ของท่าน หลังจากการกลับใจท่านก็กลายเป็นคนศรัทธา ท่านเริ่มสวดภาวนาและอ่านพระคัมภีร์  และสัมผัสได้ถึงกระแสเรียก แต่ก็ถูกยั้งไว้โดยพ่อวิญญาณของท่านก่อนเพราะอาจไม่ใช่ เขาส่งเสริมให้ท่านเลียนแบบพระเยซูเจ้า และหลังจากสิบแปดเดือนแห่งการเชื่อฟัง เมื่อท่านชัดเจนถึงกระแสเรียก ท่านปรารถนาจะเข้าคณะที่ เลียนแบบชีวิตที่ซ่อนเร้นของคนงานผู้ยากไร้และต่ำต้อยจากเมืองนาซาเร็ธ ท่านรู้สึกว่าท่านมิสมควรจะเป็นพระสงฆ์และนักเทศน์ใดๆเลย  ทันทีที่ผมเชื่อในพระเจ้าผมก็ได้เข้าใจว่าผมมิสามารถทำสิ่งอื่นใดมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว



19 สิงหา คม ค..1888 ท่านก็ได้เดินทางไปเยี่ยมอารามคณะซิสเตอร์เซียนและสัมผัสได้ทันทีว่าที่นี่แหละ ที่ท่านตามหา ดังนั้นในเดือนกันยายนปีเดียวกันท่านจึงได้ลาออกจากทหารกองหนุน และไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามคำแนะนำของคุณพ่อวิญญาณในช่วงปลายปี ท่านมาถึงกรุงเยรูซาเล็มในวันที่ 15 ธันวาคม นาซเร็ธในวันที่ 10 มกราคม ค..1889 ก่อนกลับถึงประเทศฝรั่งเศสในวันวาเลนไทน์ พร้อมประกาศว่าจะเข้าอาราม และแวะไปเยี่ยมอารามคณะโซเลซเมซสายเดียวกับคณะเบเนดิกตินตามคำแนะนำของคุณพ่อวิญญาณ ผ่านการอ่านหนังสือของนักบุญเทเรซา แห่ง อาวิลา กลายเป็นพื้นฐานชีวิตภายจิตของท่าน และที่สุดแล้วท่านก็ตัดสินใจที่จะเข้าอารามนอเทร ดาม เด แนเชส ของคณะซิสเตอร์เซียน ในจังหวัดอาร์แด็ช

หลังจากยกมรดกของท่านทั้งหมดแก่น้องสาวของท่าน ในวันที่ 16 มกราคม ค..1890 ท่านก็ได้เข้าเป็นนวกด้วยนามใหม่ว่า ภารดามารี อาลเบริซ ตัวอย่างของผู้เชื่อฟังและถ่อมตน ต่อมาท่านก็ขอไปที่อารามอาคเบส ประเทศซีเรีย ดินแดนของมุสลิม เพื่อใช้ชีวิตอย่างถ่อมตนและยากจน แต่ผู้ใหญ่เห็นว่าท่านมีอนาคตจึงสั่งให้ท่านกลับมาศึกษาต่อเพื่อเป็นพระสงฆ์ ท่านเสียใจที่ต้องตัดสินใจกลับมา ในสายตาของท่านท่านกำลังห่างจากสถานที่สุดท้ายของท่าน แต่ด้วยศีลบนความนบนอบท่านกลับมาศึกษาต่อในด้านเทววิทยา



และเข้าพิธีปฏิญาณตนและศีลโกน(บวช)ในวันที่  2 กุมภาพันธ์ ..1892 ในจดหมายลงวันที่ 26สิงหาคม ค..1893 ถึงคุณพ่อวิญญาณ ท่านได้เผยว่าท่านปรารถนาจะตั้งคณะใหม่ ท่านสนับสนุนความยากจน ความเรียบง่ายโดยสมบูรณ์ และการสวดภาวนาโดยภาษาท้องถิ่นไม่ภาษาลาติน แต่คุณพ่อขิให้ท่านรอไปก่อน เพื่อเตรียมเข้าศึกษาต่อ ท่านเริ่มร่างกฎของคณะตั้งแต่ปี ค..1895 แต่เมื่อท่านยื้นเรื่องก็ถูกปฏิเสธที่จะให้ท่านแยกคณะไป หลังจากนั้นในปี ค.. 1896  ท่านก็ได้เขียน คำภาวนาแห่งการสละทุกสิ่งอย่าง สรุปวิญญาณของท่าน

ท่านปฏิเสธที่จะเข้าพีปฏิญาณตนครั้งสุดท้าย คุณพ่อวิญญาณไม่สงสัยในกระแสเรียกของท่านแล้ว ท่านต้องการเป็นอิสระจากคำปฏิญาณ แต่ทางผู้ใหญ่ส่งท่านไปศึกษาต่อที่กรุงโรมเพื่อเตรียมเป็นพระสงฆ์ ด้วยศีลบนความนบนอบท่านปฏิบัติตาม ท่านมาถึงกรุงโรมในวันที่ 27 ตุลาคม ค..1896 ท่านกล่าวว่าความเชื่อฟังเป็นแหล่งที่มาของสันติสำหรับท่าน และที่สุดแล้วผู้ใหญ่ในคณะก็ให้อิสระแก่ท่าน  23 มกราคม ค..1897 ในการทำตามน้ำพระทัยของพระ



ลูกได้รับคำยินยอมให้ไปยังนาซาเร็ธด้วยตัวเอง และอาศัยอยู่ที่นั่นที่ไม่รู้จัก เช่นคนงาน จากทำงานประจำวันของลูก อยู่อย่างสันโดษ สวดภาวนา เฝ้าศีล รำพึงตามพระวรสารและทำงานด้วยความอ่อนน่อมถ่อมตน ท่านมาถึงเมืองนาซาเร็ธในวันที่ 10 มีนาคม ค..1897 และได้พักในกระท่อม ใกล้ๆอารามกลาริส มีชีวิตทำสวน เงินนิดหน่อย กินขนมปัง ซ่อมกระท่อม วาดภาพทางศาสนา ติดต่อคุณพ่อวิญญาณผ่านจดหมายและสวดภาวนา  แม้ทางอารามกลาริสจะมอบอัลมอนด์และมะเดื่อให้ท่าน ท่านก็แอบให้เด็กๆไป นอกจากนั้นท่านเริ่มเขียนการรำพึงของท่านมากกว่า 3000 หน้าในสามปี



ชีวิตการบำเพ็ญพรตของท่านอันศักดิ์สิทธิ์นั้นบรรดาซิสเตอร์ในอารามกลาริสที่นาร์ซาเร็ธต่างประจักษ์ดี พวกเธอต่างกระตุ้นให้ท่านเข้ารับศีลบรรพชาและวางรากฐานคณะของท่าน หลังจากสิ่งต่างๆท่านก็เปลี่ยนมาใช้นามใหม่ว่า ชาร์ลแห่งพระเยซูเจ้า และตัดสินใจจะรับศีลบรรพชา ดังนั้นหลังจากสามปีที่นาร์ซาเร็ธในปลายเดือนสิงหาคม ค..1900 ท่านก็มาถึงมาร์แซย์ และได้พบหน้าพ่อวิญญาณท่านเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ถัดจากนั้นท่านจึงไปอารามเก่าแล้วมุ่งเข้ากรุงโรม ก่อนได้รับศีลบรรพชาในวันที่ 9 มิถุนายน ค..1901  

หลังจากได้รับศีลบรรพชาแล้ว ท่านก็ได้ตัดสินย้ายมาที่ทะเลทรายซาฮารา ท่านมาถึงแอลจีเรียในเดือนกันยายน ค..1901  จากนั้นท่านก็เดินทางไปเบนิซ อาบเบส ที่นั่นท่านได้รับการต้อนรับจากบรรดาทหารที่เคยร่วมรบกับท่าน พวกเขาได้ช่วยท่านสร้างอารามที่ประกอบด้วยห้องพัก วัดและแปลงผักสามเอเคอร์ที่ซื้อโดยมารี เดอ บองดี ด้วย วัดเสร็จในวันที่ 1 ธันวาคม ปีเดียวกัน หลังจากนั้นท่านก็เจริญชีวิตบำเพ็ญพรตที่นั่นนอนห้าชั่วโมง ทำงานสลับสวดภาวนาอีกหกชั่วโมง หรือไม่ก็ใช้เวลารับฟังคนยากจนและทหารที่มาคุยกับท่าน



ในวันที่ 9 มกราคม ค..1902 ท่านก็ได้ซื้ออิสรภาพให้ทาสคนหนึ่งพร้อมตั้งนามว่าโยเซฟ แห่ง พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ท่านประณามการค้าทาส หลายต่อหลายครั้งท่านขอให้หยุดการื้อขายทาส ในปีต่อมาท่านก็มีแผนจะย้ายไปโมร็อกโก แต่ก่อนหน้านั้นท่านก็ไปมุ่งลงทางใต้ของโอกกาในวันที่ 13 มกราคม ค..1904  และมาถึงโอเอซิสอาดราร์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ท่านตระเวนไปจนถึงอากาบลี ตลอดการเดินทางท่านได้สำรวจอะไรมากมาย ท่านได้รวบรวมข้อมูลเรื่องภาษาทูอาเร็กของกลุ่มชนในตอนใต้และตอนกลางของทะเลทรายซาฮารา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลพระวรสารเป็นภาษาทูอาเร็ก

ท่านเดินทางไปจนถึงชายแดนแอลจีเลีย การเดินทางของท่านจบลงที่แอง ซาลาห์ ก่อนกลับมาถึงเบนิซ อาบเบสในวันที่ 24 มกราคม ค..1995  หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจย้ายตามองราซเซต และมาถึงในวันที่ 13 สิงหาคม ค..1905 พร้อมปอลอดีตทาส ก็ได้ช่วยกันสร้างที่พักจากหินและดิน ที่นั่นท่านพยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมทูอาเร็ก และได้เขียนพจนานุกรมทูอาเร็ก-ฝรั่งเศสขึ้น



ที่นี่เมื่อทหารชั้นผู้ใหญ่มาเยี่ยมท่านเพื่อขอคำแนะนำในการจัดการกับทหาร ท่านก็ได้แนะแสวงหาความดีแก่คนของเขา  เช่นเดียวกันกับการพัฒนาทางด้านการศึกษา แต่แล้วอยู่มาในวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ค..1906  ปอลผู้ติดตามท่านก็ได้เดินทางจากไป มันทำให้ท่านไม่สามารถประกอบมิสซาได้ หลังจากนั้นในฤดูร้อนปีเดียวกันอาโดลฟ์ เดอ เคเลซซองที โมทีแลงซกี เพื่อนของท่านก็มาช่วยท่านจัดทำพจนานุกรมจนแล้วเสร็จ และหลังจากการจากไปของเขาท่านก็ตัดสินใจกับมาเบนิซ อาบเบส ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน พร้อมวางแผนจะไปมาระหว่างสองที่นี้

ที่เบนิซไชท่านก็ได้มีผู้ร่วมอารามอีกคนหนึ่งคือภารดามิเชล หลังจากผ่านการอนุมัติจากพระคุณเจ้าเกแรง ท่านมีสิทธิ์ที่จะตั้งศีลมหาสนิท ซึ่งท่านและเขาร่วมเฝ้ากันเป็นระยะเวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง แต่ไม่นานภารดามิเชลก็ได้จากไปอีก เมื่อพจนานุกรมของท่านเสร็จลงในภายหลังท่านก็ได้ส่งมันไปให้นายพลฟร็องซัว อ็องรี ลาเปอรริน ภายใต้ชื่อของอาโดลฟ์เป็นผู้เรียบเรียง ซึ่งเสียชีวิตก่อนพจนานุกรมจะได้ตีพิมพ์



หลังจากนั้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค..1907 ถึงคริสต์มาส ค..1908 แต่ที่สุดแล้วท่านก็ตัดสินใจกลับไปตามองราซเซต ที่นั่นท่านมาสามารถจะทำมิสซาได้เลย ท่านมอบอาหารแด่ผู้หิวโหยและใช้เวลาคริสมาสโดยมิได้ฉลอง จนทำให้ในวันที่ 7 มกราคม ค..1908  ท่านมีสภาพผอมแห้ง ไร้เรี่ยวแรงจะทำอะไร ชาวบ้านให้ท่านด้วยขนมปังกับนมแพะ แต่เมื่อลาเปอรรินทราบข่าวเขาก็ส่งอาหารมาให้ท่าน จากนั้นในวันที่ 31 มกราคม ปีเดียวกันพระคุณเจ้าเกแรงก็นำจดหมายจากสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 10 ที่อนุมัติให้ท่านประกอบมิสซาได้โดยไม่ต้องมีสัตบุรุษ



เหตุการณ์ที่ผ่านมารวมทั้งความช่วยเหลือจากคนทูอาเร็ซ เปลี่ยนวิธีคิดของท่าน ท่านไม่พยายามเปลี่ยนแปลงพวกเขา แต่กลับกันท่านจะมอบความรักแก่พวกเขา ผมไม่ได้ให้ทูอาเร็กกลับใจแม้แต่ครั้งเดียว แต่จะพยายามเข้าใจและปรับปรุง ผมมั่นใจว่าพระเจ้าทรงยินดีต้อนรับคนดีและซื่อสัตย์โดยไม่ต้องเป็นคริสต์เข้าสวรรค์ครับ ท่านเขียนถึงพระคุณเจ้าเกแรง หลังจากสุขภาพดีแล้วท่านก็กลับมาทำงานกับพวกเขา แปลบทกวีของพวกเขา เป็นต้น

16 กุมภาพันธ์ ค..1909 ท่านก็เดินทางออกจากแอลจีเรีย มาถึงฝรั่งเศสในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เพื่อนำเสนอแผนงานของท่าน สหภาพภารดาและภคินีแห่งพระหฤทัยที่จะทำหน้าที่ทำให้คนที่ปฏิเสธพระกลับใจ ก่อนกลับแอลจีเรียในวันที่ 7 มีนาคม เมื่อมาถึงซาลาห์ ท่านก็ได้ประดิษฐ์สายประคำแห่งความรักเพื่อคริสตชนและมุสลิม  และทราบข่าวว่าคุณพ่ออธิการคณะได้อนุมัติกฎแล้วรอแต่การอนุมัติจากทางโรม ระหว่างนั้นในวันที่ 11 มิถุนายน ท่านก็กลับไปตามองราซเซต และได้ร่วมเดินทางร่วมกับลาเปอรรินในเดือนกันยายนและค้นพบอาซเซคเรม ทางใต้ของแอลจีเรีย  จากนั้นท่านก็กลับมาที่ตามองราซเซตและเจริญชีวิตตามปกติ



อีกครั้งในเดือนเมษายน ค..1910 ท่านก็ได้ร่วมเดินทางไปกับลาเปอรริน และตัดสินใจสร้างอาศรมเล็กๆที่อาซเซคเรมด้วยความช่วยเหลือของทหาร ซึ่งจะเป็นที่ที่ท่านใช้ปลีกตัวจากการเยี่ยมเยียนและความร้อนในฤดูร้อนของทะเลทรายซาฮารา ท่านกลับมาที่ตามองราซเซตในวันที่ 31 ตุลาคม ปีเดียวกัน

ในปี ค..1910 เป็นเวลาแห่งการจากลาครั้งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้นกับท่านเมื่อพระคุณเจ้าเกแรงเสียชีวิตไปได้ไม่นานเพื่อนทหารรักในแอลจีเลยก็ตามไป ไม่พอคุณพ่อวิญญาณท่านก็ถึงแก่กรรมลง นอกจากนี้ลาเปอรริน ก็ถูกย้ายออกจากซาฮาราในปลายปีนั้น ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งในวันที่ 2 มกราคม ค..1911 แล้วกลับมาแอลจีเรียเช่นเดิม



กรกฎาคมปีเดียวกันท่านก็ไปอาซเซคเรม ก่อนที่สุขภาพของท่านจะแย่ลงเรื่อยๆ ท่านจึงได้เขียนพินัยกรรมว่า ฉันปรารถนาจะถูกฝังในสถานที่ที่ฉันตายและพักผ่อนจนกว่าจะได้กลับคืนชีพจากความตาย ฉันขอสั่งห้ามคุณนำเอาร่างของฉันออกจากสถานที่ที่พระเจ้าได้ทรงทำให้ฉันเสร็จสิ้นการแสวงบุญของฉัน ท่านกลับไปตามองราซเซตในวันคริสต์มาส และได้ช่วยงานต่างๆ อาทิ งานวิจัย เป็นต้น

ในตอนท้ายของปี ค..1912 และต้นปี ค..1913 ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เริ่มต้นขึ้น อันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่านเขียนพจนานุกรมจบ ก่อนเริ่มเขียนอีกเล่ม และตัดสินใจไปประเทศฝรั่งเศสอีกครั้งเพื่อไปพัฒนากลุ่มฆราวาสของสหภาพที่ท่านตั้งขึ้นในระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน และกลับมาเจริญชีวิตตามปกติ

กระทั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ประทุขึ้น ส่งให้การพัฒนาสหภาพภารดาและภคินีแห่งพระหฤทัยหยุดชักลง จากนั้นระหว่างฤดูร้อน ค..1915 ถึงฤดูร้อน ค..1916 ท่านก็ได้เปลี่ยนอารามที่ตามองราซเซตเป็นที่หลบภัยของชาวบ้านจากภัยสงคราม  ระหว่างนั้นท่านก็เขียนพจนานุกรมเสร็จในวันที่  28 พฤศจิกายน ค..1916 และได้เขียนจกหมายถึงมารี เดอ บองดี เป็นฉบับสุดท้าย



แม้สงครามโลกครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นในยุโรป แต่คนในซาฮาราส่วนใหญ่ในตอนนั้นเริ่มต่อต้านการเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส พวกเขาสนับสนุนกลุ่มจากติโปลี กลุ่มกองโจรที่เริ่มหมายจะปลิดชีพท่าน จากชื่อเสียงของท่าน  มันเป็นวันที่ 1 ธันวาคม ค..1916 ท่านถูกล่อให้ออกมาโดยคนทูอาเร็กที่ท่านวางใจคนหนึ่ง ก่อนถูกจับมัดจะเอาไปเรียกค่าไถ่ แต่ด้วยความตกใจที่เห็นนายทหารสองคน ทำให้หนึ่งในกลุ่มนั้นยิงท่านจนถึงแก่มรณกรรม ด้วยวัย 58 ปี เย็นวันเดียวกันชาวทูอาเร็กก็ได้ฝังท่านไม่ไกลจากประตูหนัก ก่อนที่ลาเปอรริน จะเคลื่อนศพท่านไปฝังไม่ไกลจากนั้นอีกไม่กี่เมตรในวันที่  15 ธันวาคม ปีเดียวกัน หลังจากนั้นในวันที่ 26 เมษายน ค..1929 ร่างของท่านจึงถูกนำมาฝังไว้ในที่ปัจจุบัน



หลังจากมรณกรรมของท่านเจตนารมณ์ท่านก็ได้รับการเผยแพร่ต่อไปการเจริญชีวิตเช่นคนงานแห่งนาซาเร็ธก่อเกิดเป็นคณะภารดาน้อยแห่งพระหฤทัย , คณะภคินีน้อยแห่งพระหฤทัย เป็นต้น ส่วนการดำเนินเรื่องของท่านนั้นกินระยะเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ในที่สุดหลังผ่านอุปสรรคมากมายในวันที่ 13 พฤษภาคม ค..2005 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ก็ได้ทรงสถาปนาท่านเป็นบุญราศีมรณสักขี ผ่านมาแล้วแปดปีหลายๆคนก็มีความหวังว่าซักวันหนึ่งท่านจะได้เป็นนักบุญ


ประโยชน์ล้ำค่า คือการรู้จักพระคริสตเยซู (ฟิลิปปี 3:8) การได้รู้จักพระเยซูคือสิ่งล้ำค่าตามคำของนักบุญเปาโลโดยแท้จริง เช่นท่าน ท่านแสดงให้เห็นว่าการที่เราได้พบพระเยซูได้ทำให้เราได้พบอะไรมากมาย ท่านได้พบทางสว่างและทางเดิน ท่านได้ตัวอย่างจากพระองค์ ตัวอย่างแห่งความถ่อมตน ความเสียสละ  เราก็สามารถพบพระองค์ พระองค์ให้โอกาสเราเสมอ ขนาดท่านที่ดำเนินชีวิตที่เหลวแหล่ยังพบพระองค์ได้  เราก็สามารถพบพระองค์ได้เช่นกัน จะพบพระองค์ได้ที่ไหนกันละ? ก็ในพระวรสาร เพื่อนมนุษย์และศีลมหาสนิทไง  แล้วจะพบสิ่งที่ล้ำค่าเกินสิ่งใดๆในโลกา สิ่งที่มีใครรู้ได้นอกจากตัวเรากับพระ




ข้าแต่ท่านบุญราศีชาร์ล เดอ ฟูโกล ช่วยวิงวอนเทอญ



ข้อมูลอ้างอิง

'เบร์นาร์โด ฟรานซิสโก' ให้ชีวิตนี้เป็นสะพานนำรักพระองค์ไป ตอนจบ

บุญราศีเบร์นาร์โด ฟรานซิสโก เด โอโยส เด เซญา Bl. Bernardo Francisco de Hoyos de Seña วันฉลอง: 29 พฤษจิกายน [ย้อนกลับไปอ่าน  “‘เบร์นาร์โด ฟรา...